Binary Options Trading Take Profit Orders

1. 1. Binary Options Trading Take Profit Orders

คำนำ

การซื้อขายไบนารี่ออปชั่น (Binary Options) เป็นรูปแบบการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่รวดเร็วได้หากมีการวางแผนและบริหารความเสี่ยงที่ดี หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนสามารถใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงคือ “คำสั่ง Take Profit” (Take Profit Orders) บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับคำสั่ง Take Profit ในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น สำหรับผู้เริ่มต้น โดยจะครอบคลุมตั้งแต่ความหมาย, วิธีการทำงาน, ข้อดีข้อเสีย, การตั้งค่าคำสั่ง, กลยุทธ์ที่ใช้ร่วมกับ Take Profit, และข้อควรระวังต่างๆ เพื่อให้นักลงทุนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความหมายของ Take Profit Orders

คำสั่ง Take Profit คือ คำสั่งที่นักลงทุนกำหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อปิดสถานะการซื้อขายโดยอัตโนมัติเมื่อราคาถึงระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นระดับราคาที่นักลงทุนคาดหวังว่าจะได้รับกำไรตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น คำสั่ง Take Profit จะช่วยให้นักลงทุนสามารถล็อคผลกำไรที่ได้มาแล้ว โดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอเพื่อรอปิดสถานะด้วยตนเอง

วิธีการทำงานของ Take Profit ใน Binary Options

ในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่นแบบดั้งเดิม (High/Low) เรามักจะเลือก Call หรือ Put และรอจนกว่าเวลาหมดอายุของออปชั่นนั้นๆ หากราคา ณ เวลาหมดอายุเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ เราก็จะได้รับผลตอบแทน แต่หากไม่เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ เราก็จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม หลายแพลตฟอร์มการซื้อขายไบนารี่ออปชั่นในปัจจุบันได้เพิ่มฟังก์ชัน Take Profit เข้ามา เพื่อให้นักลงทุนสามารถควบคุมผลกำไรที่อาจได้รับได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเราเปิดสถานะการซื้อขายและตั้งค่า Take Profit ไว้ หากราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่เราคาดการณ์ไว้ และถึงระดับราคาที่กำหนดไว้สำหรับ Take Profit ระบบจะปิดสถานะการซื้อขายโดยอัตโนมัติ และเราจะได้รับผลกำไรตามที่กำหนดไว้ แม้ว่าเวลาหมดอายุของออปชั่นนั้นๆ จะยังไม่ถึงก็ตาม

ข้อดีและข้อเสียของการใช้ Take Profit Orders

| ข้อดี | ข้อเสีย | |---|---| | **ล็อคผลกำไร:** ช่วยให้นักลงทุนสามารถล็อคผลกำไรที่ได้มาแล้ว ไม่ต้องเสี่ยงที่จะให้ผลกำไรลดลงจากความผันผวนของราคา | **พลาดโอกาส:** หากราคาเคลื่อนที่ไปต่อหลังจากถึงระดับ Take Profit เราอาจพลาดโอกาสในการทำกำไรที่มากขึ้น | | **ลดความเสี่ยง:** ช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียผลกำไรที่ได้มาแล้ว หากราคาเกิดการกลับตัว | **การตั้งค่าที่ไม่เหมาะสม:** หากตั้งค่า Take Profit ไว้ใกล้เกินไป อาจทำให้ระบบปิดสถานะการซื้อขายก่อนที่เราจะได้รับกำไรตามเป้าหมาย | | **ความสะดวก:** ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอเพื่อรอปิดสถานะด้วยตนเอง | **ค่าธรรมเนียม:** บางแพลตฟอร์มอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับการใช้คำสั่ง Take Profit | | **บริหารความเสี่ยง:** ช่วยในการบริหารความเสี่ยงโดยการกำหนดระดับราคาที่ยอมรับได้ในการทำกำไร | **ความล่าช้า:** ในบางกรณี อาจเกิดความล่าช้าในการปิดสถานะการซื้อขายเมื่อราคาถึงระดับ Take Profit |

การตั้งค่า Take Profit Orders

การตั้งค่า Take Profit Orders จะแตกต่างกันไปในแต่ละแพลตฟอร์มการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น โดยทั่วไปแล้ว จะมีขั้นตอนดังนี้

1. **เปิดสถานะการซื้อขาย:** เลือก Call หรือ Put ตามการวิเคราะห์ของคุณ 2. **กำหนดจำนวนเงินลงทุน:** กำหนดจำนวนเงินที่คุณต้องการลงทุนในออปชั่นนั้นๆ 3. **ตั้งค่า Take Profit:** กำหนดระดับราคาที่คุณต้องการให้ระบบปิดสถานะการซื้อขายโดยอัตโนมัติ โดยปกติแล้ว จะมีให้เลือกทั้งแบบเป็นเปอร์เซ็นต์ (%) หรือเป็นจำนวนเงิน (USD/EUR/JPY) 4. **ยืนยันคำสั่ง:** ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดให้ถูกต้องก่อนยืนยันคำสั่ง

กลยุทธ์การซื้อขายไบนารี่ออปชั่นที่ใช้ร่วมกับ Take Profit

• **กลยุทธ์ Moving Average Crossover:** ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เพื่อระบุแนวโน้มของราคา และตั้งค่า Take Profit ไว้ที่ระดับราคาที่คาดว่าจะถึงตามแนวโน้มนั้นๆ ดูเพิ่มเติมที่ Moving Average และ Moving Average Crossover
• **กลยุทธ์ Support and Resistance:** ระบุแนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) และตั้งค่า Take Profit ไว้ใกล้เคียงกับแนวต้านหากคุณเปิดสถานะ Call และใกล้เคียงกับแนวรับหากคุณเปิดสถานะ Put ดูเพิ่มเติมที่ Support and Resistance
• **กลยุทธ์ Fibonacci Retracement:** ใช้ระดับ Fibonacci Retracement เพื่อระบุระดับราคาที่อาจเป็นจุดกลับตัวของราคา และตั้งค่า Take Profit ไว้ที่ระดับเหล่านั้น ดูเพิ่มเติมที่ Fibonacci Retracement
• **กลยุทธ์ Trend Following:** ระบุแนวโน้มของราคา และตั้งค่า Take Profit ไว้ตามระยะทางที่คาดว่าจะเคลื่อนที่ไปตามแนวโน้มนั้นๆ ดูเพิ่มเติมที่ Trend Following
• **กลยุทธ์ Bollinger Bands:** ใช้ Bollinger Bands เพื่อวัดความผันผวนของราคา และตั้งค่า Take Profit ไว้ใกล้เคียงกับขอบบนของ Bollinger Bands หากคุณเปิดสถานะ Call และใกล้เคียงกับขอบล่างหากคุณเปิดสถานะ Put ดูเพิ่มเติมที่ Bollinger Bands
• **กลยุทธ์ RSI (Relative Strength Index):** ใช้ RSI เพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม และตั้งค่า Take Profit ไว้เมื่อ RSI บ่งชี้ว่าราคาอาจเกิดการปรับฐาน ดูเพิ่มเติมที่ RSI
• **กลยุทธ์ MACD (Moving Average Convergence Divergence):** ใช้ MACD เพื่อระบุสัญญาณซื้อขาย และตั้งค่า Take Profit ไว้เมื่อ MACD บ่งชี้ว่าแนวโน้มกำลังอ่อนตัวลง ดูเพิ่มเติมที่ MACD
• **กลยุทธ์ Price Action:** วิเคราะห์รูปแบบราคา (Price Patterns) และตั้งค่า Take Profit ไว้ตามระดับราคาที่คาดว่าจะถึงตามรูปแบบเหล่านั้น ดูเพิ่มเติมที่ Price Action
• **กลยุทธ์ Japanese Candlesticks:** วิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนญี่ปุ่น (Japanese Candlesticks) และตั้งค่า Take Profit ไว้ตามระดับราคาที่คาดว่าจะถึงตามรูปแบบเหล่านั้น ดูเพิ่มเติมที่ Japanese Candlesticks
• **กลยุทธ์ Elliot Wave:** ใช้ทฤษฎี Elliot Wave เพื่อระบุคลื่นราคา และตั้งค่า Take Profit ไว้ตามระดับราคาที่คาดว่าจะถึงตามคลื่นเหล่านั้น ดูเพิ่มเติมที่ Elliot Wave Theory
• **กลยุทธ์ Ichimoku Cloud:** ใช้ Ichimoku Cloud เพื่อระบุแนวโน้มและระดับสนับสนุน/ต้านทาน และตั้งค่า Take Profit ตามสัญญาณที่ได้จาก Ichimoku Cloud ดูเพิ่มเติมที่ Ichimoku Cloud
• **กลยุทธ์ Harmonic Patterns:** ใช้รูปแบบ Harmonic เช่น Butterfly, Crab, Bat เพื่อคาดการณ์จุดกลับตัวของราคา และตั้งค่า Take Profit ตามระดับราคาที่คำนวณได้ ดูเพิ่มเติมที่ Harmonic Patterns
• **กลยุทธ์ Volume Spread Analysis (VSA):** วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายและช่วงราคาเพื่อประเมินความแข็งแกร่งของแนวโน้ม และตั้งค่า Take Profit ตามสัญญาณที่ได้จาก VSA ดูเพิ่มเติมที่ Volume Spread Analysis
• **กลยุทธ์ Supply and Demand Zones:** ระบุโซนอุปทาน (Supply Zones) และโซนอุปสงค์ (Demand Zones) และตั้งค่า Take Profit ไว้ใกล้เคียงกับโซนเหล่านั้น ดูเพิ่มเติมที่ Supply and Demand Zones
• **กลยุทธ์ Breakout Trading:** คาดการณ์การทะลุแนวต้าน/แนวรับ และตั้งค่า Take Profit ไว้ตามระยะทางที่คาดว่าจะเคลื่อนที่ไปหลังจากทะลุแนวต้าน/แนวรับ ดูเพิ่มเติมที่ Breakout Trading

ข้อควรระวังในการใช้ Take Profit Orders

• **ความผันผวนของราคา:** ตลาดไบนารี่ออปชั่นมีความผันผวนสูง ราคาอาจเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและไม่คาดฝัน ดังนั้นควรตั้งค่า Take Profit ไว้ในระดับที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่คุณรับได้
• **การวิเคราะห์ทางเทคนิค:** การตั้งค่า Take Profit ควรอยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ถูกต้องและแม่นยำ เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
• **การบริหารความเสี่ยง:** ควรใช้คำสั่ง Take Profit ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เช่น การกำหนดจำนวนเงินลงทุนที่เหมาะสม และการใช้ Stop Loss Orders
• **ค่าธรรมเนียม:** ตรวจสอบค่าธรรมเนียมที่แพลตฟอร์มเรียกเก็บสำหรับการใช้คำสั่ง Take Profit
• **ความล่าช้า:** ระวังความล่าช้าในการปิดสถานะการซื้อขายเมื่อราคาถึงระดับ Take Profit

สรุป

คำสั่ง Take Profit เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนไบนารี่ออปชั่นในการล็อคผลกำไร ลดความเสี่ยง และเพิ่มประสิทธิภาพในการซื้อขาย อย่างไรก็ตาม การใช้งาน Take Profit อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีความเข้าใจในวิธีการทำงาน ข้อดีข้อเสีย กลยุทธ์ที่ใช้ร่วมกัน และข้อควรระวังต่างๆ นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจอย่างละเอียดก่อนนำไปประยุกต์ใช้ในการซื้อขายจริง

Binary Options Trading Strategies Technical Analysis Risk Management Options Trading Call Option Put Option Expiry Time Payout Broker Selection Market Analysis Volatility Trading Psychology Money Management Trading Platform Stop Loss Orders Support and Resistance Moving Average RSI MACD

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น