Strangle (Binary Options)

1. 1. Strangle (Binary Options)

• • Strangle** เป็นกลยุทธ์การเทรด ไบนารี่ออปชั่น ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดตำแหน่งสองตำแหน่งพร้อมกัน: หนึ่งคือการซื้อ Call Option และอีกหนึ่งคือการซื้อ Put Option โดยทั้งสองออปชั่นจะมีราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ที่แตกต่างกันและวันที่หมดอายุเดียวกัน กลยุทธ์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำกำไรเมื่อเกิดความผันผวนของสินทรัพย์อ้างอิงอย่างมาก ไม่ว่าราคาจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดก็ตาม บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดของกลยุทธ์ Strangle อย่างละเอียดสำหรับผู้เริ่มต้น รวมถึงข้อดี ข้อเสีย วิธีการใช้งาน และกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง

1. 1. 1. ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ Strangle

Strangle เป็นกลยุทธ์ที่ถือว่าเป็นกลยุทธ์ "ช่วง" (Range) หรือ "ความผันผวน" (Volatility) เพราะทำกำไรได้เมื่อราคาของสินทรัพย์อ้างอิงเคลื่อนที่อย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่ได้ระบุทิศทางที่แน่นอน กลยุทธ์นี้แตกต่างจากกลยุทธ์ Straddle ซึ่งใช้ราคาใช้สิทธิเดียวกันสำหรับทั้ง Call และ Put Option ในขณะที่ Strangle ใช้ราคาใช้สิทธิที่แตกต่างกัน

• • องค์ประกอบหลักของ Strangle:**

• **Call Option:** สิทธิ์ในการซื้อสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนด (ราคาใช้สิทธิ) ภายในวันที่หมดอายุ
• **Put Option:** สิทธิ์ในการขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนด (ราคาใช้สิทธิ) ภายในวันที่หมดอายุ
• **ราคาใช้สิทธิ (Strike Price):** ราคาที่ผู้ถือออปชั่นสามารถซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงได้
• **วันที่หมดอายุ (Expiration Date):** วันที่ออปชั่นหมดอายุและไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้อีกต่อไป

1. 1. 1. ทำไมถึงใช้กลยุทธ์ Strangle?

กลยุทธ์ Strangle ถูกนำมาใช้ด้วยเหตุผลหลายประการ:

• **คาดการณ์ความผันผวน:** นักเทรดที่คาดการณ์ว่าสินทรัพย์อ้างอิงจะมีความผันผวนสูง แต่ไม่แน่ใจว่าราคาจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางใด จะใช้กลยุทธ์นี้
• **ต้นทุนต่ำกว่า Straddle:** โดยทั่วไป Strangle จะมีต้นทุนที่ต่ำกว่า Straddle เนื่องจากราคาใช้สิทธิของ Call และ Put Option จะถูกกำหนดให้ห่างกัน
• **โอกาสในการทำกำไรทั้งสองทิศทาง:** ไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลงอย่างมีนัยสำคัญ นักเทรดก็สามารถทำกำไรได้
• **การป้องกันความเสี่ยง (Hedging):** สามารถใช้ Strangle เพื่อป้องกันความเสี่ยงในตำแหน่งที่มีอยู่ได้

1. 1. 1. วิธีการสร้าง Strangle ในไบนารี่ออปชั่น

ในการสร้าง Strangle ในไบนารี่ออปชั่น คุณจะต้องเปิดสองตำแหน่งพร้อมกัน:

1. **ซื้อ Call Option:** เลือก Call Option ที่มีราคาใช้สิทธิสูงกว่าราคาปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง 2. **ซื้อ Put Option:** เลือก Put Option ที่มีราคาใช้สิทธิต่ำกว่าราคาปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง 3. **กำหนดวันที่หมดอายุ:** เลือกวันที่หมดอายุที่เหมาะสมกับระยะเวลาที่คุณคาดการณ์ว่าความผันผวนจะเกิดขึ้น 4. **ลงทุน:** กำหนดจำนวนเงินลงทุนในแต่ละออปชั่น (ควรลงทุนในแต่ละออปชั่นในจำนวนเงินที่เท่ากันเพื่อรักษาสมดุล)

ตัวอย่าง:

สมมติว่าราคาปัจจุบันของทองคำอยู่ที่ 1800 ดอลลาร์สหรัฐฯ

• คุณซื้อ Call Option ที่ราคาใช้สิทธิ 1820 ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยเงินลงทุน 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ
• คุณซื้อ Put Option ที่ราคาใช้สิทธิ 1780 ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยเงินลงทุน 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ
• วันที่หมดอายุ: 1 ชั่วโมง

ในกรณีนี้ คุณลงทุนรวม 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ

1. 1. 1. การทำกำไรและขาดทุนจาก Strangle

• • การทำกำไร:**

• หากราคาทองคำสูงกว่า 1820 ดอลลาร์สหรัฐฯ ณ วันที่หมดอายุ คุณจะได้รับผลตอบแทนจาก Call Option และขาดทุนจาก Put Option แต่กำไรจาก Call Option จะมากกว่าการขาดทุนจาก Put Option ทำให้คุณได้กำไรสุทธิ
• หากราคาทองคำต่ำกว่า 1780 ดอลลาร์สหรัฐฯ ณ วันที่หมดอายุ คุณจะได้รับผลตอบแทนจาก Put Option และขาดทุนจาก Call Option แต่กำไรจาก Put Option จะมากกว่าการขาดทุนจาก Call Option ทำให้คุณได้กำไรสุทธิ

• • การขาดทุน:**

• หากราคาทองคำอยู่ระหว่าง 1780 ถึง 1820 ดอลลาร์สหรัฐฯ ณ วันที่หมดอายุ ทั้ง Call และ Put Option จะหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า ทำให้คุณขาดทุนทั้งจำนวนเงินลงทุน
• การขาดทุนสูงสุดจะจำกัดอยู่ที่จำนวนเงินลงทุนทั้งหมดที่ใช้ในการซื้อ Call และ Put Option

1. 1. 1. การบริหารความเสี่ยงใน Strangle

การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในการเทรด Strangle เพื่อลดผลกระทบจากการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น:

• **กำหนดจุดขาดทุนสูงสุด:** กำหนดจำนวนเงินที่คุณยินดีจะเสียก่อนที่จะเริ่มเทรด
• **เลือกราคาใช้สิทธิที่เหมาะสม:** เลือกราคาใช้สิทธิที่ห่างจากราคาปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิงในระยะที่เหมาะสม เพื่อให้มีโอกาสทำกำไรมากขึ้นและลดความเสี่ยงในการขาดทุน
• **เลือกวันที่หมดอายุที่เหมาะสม:** เลือกวันที่หมดอายุที่สอดคล้องกับระยะเวลาที่คุณคาดการณ์ว่าความผันผวนจะเกิดขึ้น
• **ใช้ขนาดตำแหน่งที่เหมาะสม:** อย่าลงทุนเกินกว่าที่คุณสามารถรับความเสี่ยงได้
• **ติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด:** ติดตามข่าวสารและเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาของสินทรัพย์อ้างอิง
• **ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค:** ใช้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น Bollinger Bands, Moving Averages, และ RSI เพื่อประเมินความผันผวนและแนวโน้มของตลาด
• **พิจารณา การวิเคราะห์พื้นฐาน**: การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์อ้างอิงสามารถช่วยในการคาดการณ์ความผันผวนในระยะยาวได้

1. 1. 1. กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับ Strangle

• **Straddle:** กลยุทธ์ที่คล้ายกับ Strangle แต่ใช้ราคาใช้สิทธิเดียวกันสำหรับทั้ง Call และ Put Option (Straddle กลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดการณ์ความผันผวนที่รุนแรง)
• **Butterfly Spread:** กลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จากความผันผวนที่จำกัด (Butterfly Spread กลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะอยู่ในช่วงแคบๆ)
• **Condor Spread:** กลยุทธ์ที่คล้ายกับ Butterfly Spread แต่ใช้ราคาใช้สิทธิที่มากกว่า (Condor Spread กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตลาดที่มีความผันผวนน้อย)
• **Iron Condor:** กลยุทธ์ที่รวมทั้ง Call และ Put Option เพื่อทำกำไรจากความผันผวนที่จำกัด (Iron Condor กลยุทธ์ที่ใช้ในการสร้างรายได้ในตลาด Sideways)

1. 1. 1. ตัวอย่างการใช้ Strangle ในสถานการณ์จริง

สมมติว่าคุณกำลังติดตามข่าวสารเกี่ยวกับบริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่ง และคุณคาดการณ์ว่าจะมีข่าวสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทนี้อย่างมาก แต่คุณไม่แน่ใจว่าข่าวจะดีหรือร้าย

• ราคาหุ้นปัจจุบัน: 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ
• คุณซื้อ Call Option ที่ราคาใช้สิทธิ 105 ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยเงินลงทุน 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ
• คุณซื้อ Put Option ที่ราคาใช้สิทธิ 95 ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยเงินลงทุน 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ
• วันที่หมดอายุ: 1 วัน

หากข่าวดีออกมาและราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปเหนือ 105 ดอลลาร์สหรัฐฯ คุณจะได้รับผลตอบแทนจาก Call Option และสามารถทำกำไรได้

หากข่าวร้ายออกมาและราคาหุ้นร่วงลงต่ำกว่า 95 ดอลลาร์สหรัฐฯ คุณจะได้รับผลตอบแทนจาก Put Option และสามารถทำกำไรได้

หากข่าวออกมาเป็นกลางและราคาหุ้นไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก คุณอาจขาดทุนทั้งจำนวนเงินลงทุน แต่การขาดทุนจะจำกัดอยู่ที่ 40 ดอลลาร์สหรัฐฯ

1. 1. 1. ข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์ Strangle

| ข้อดี | ข้อเสีย | | ---------------------------------- | --------------------------------------- | | โอกาสในการทำกำไรทั้งสองทิศทาง | อาจขาดทุนหากราคาไม่เคลื่อนที่มากพอ | | ต้นทุนต่ำกว่า Straddle | ต้องมีการคาดการณ์ความผันผวนที่ถูกต้อง | | สามารถใช้ป้องกันความเสี่ยงได้ | ต้องการความเข้าใจในออปชั่นและตลาด | | เหมาะสำหรับตลาดที่มีความผันผวนสูง | ต้องบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ |

1. 1. 1. การใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

• **Volatility Index (VIX):** VIX เป็นดัชนีที่วัดความผันผวนของตลาดโดยรวม การใช้ VIX สามารถช่วยในการประเมินความผันผวนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
• **Implied Volatility (IV):** Implied Volatility เป็นการวัดความผันผวนที่ตลาดคาดการณ์จากราคาของออปชั่น การเปรียบเทียบ IV กับ Historical Volatility สามารถช่วยในการตัดสินใจว่าออปชั่นมีราคาแพงหรือถูกเกินไป
• **Option Greeks:** Option Greeks เช่น Delta, Gamma, Theta และ Vega เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวัดความเสี่ยงและผลตอบแทนของออปชั่น การทำความเข้าใจ Option Greeks สามารถช่วยในการปรับกลยุทธ์ Strangle ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
• **Volume and Open Interest:** Volume และ Open Interest เป็นตัวบ่งชี้ที่แสดงถึงความสนใจของตลาดในออปชั่น การวิเคราะห์ Volume และ Open Interest สามารถช่วยในการประเมินสภาพคล่องและความน่าเชื่อถือของออปชั่น

1. 1. 1. สรุป

Strangle เป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจสำหรับนักเทรดไบนารี่ออปชั่นที่ต้องการทำกำไรจากความผันผวนของตลาด อย่างไรก็ตาม การทำความเข้าใจองค์ประกอบหลัก ข้อดี ข้อเสีย และวิธีการบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการเทรดกลยุทธ์นี้ การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์พื้นฐานร่วมกับกลยุทธ์ Strangle จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการขาดทุน

การเทรดไบนารี่ออปชั่น มีความเสี่ยงสูง โปรดลงทุนอย่างระมัดระวังและทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนทำการเทรด

การบริหารเงินทุน เป็นสิ่งสำคัญในการเทรดไบนารี่ออปชั่น

จิตวิทยาการเทรด มีผลต่อการตัดสินใจในการเทรด

การเลือกโบรกเกอร์ไบนารี่ออปชั่น ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการกำกับดูแล

การทำความเข้าใจสัญญาไบนารี่ออปชั่น เป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่จะเริ่มเทรด

การวิเคราะห์กราฟราคา ช่วยในการตัดสินใจในการเทรด

การใช้ Indicators ช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคา

การจัดการอารมณ์ในการเทรด ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล

การวางแผนการเทรด ช่วยให้มีเป้าหมายที่ชัดเจน

การบันทึกผลการเทรด ช่วยในการวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์

การเรียนรู้จากความผิดพลาด ช่วยให้พัฒนาทักษะการเทรด

การติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ ช่วยในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาด

การใช้ระบบเทรดอัตโนมัติ ช่วยลดความเสี่ยงจากอารมณ์

การกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ช่วยลดผลกระทบจากการขาดทุน

การใช้ Stop Loss ช่วยจำกัดการขาดทุน

การใช้ Take Profit ช่วยล็อคกำไร

การวิเคราะห์ทางเทคนิคขั้นสูง ช่วยในการวิเคราะห์ตลาดที่ซับซ้อน

การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย ช่วยในการประเมินความแข็งแกร่งของแนวโน้ม

ตัวอย่างการคำนวณกำไร/ขาดทุนจาก Strangle

สินทรัพย์อ้างอิง	ทองคำ
ราคาปัจจุบัน	1800 ดอลลาร์สหรัฐฯ
Call Option Strike Price	1820 ดอลลาร์สหรัฐฯ
Put Option Strike Price	1780 ดอลลาร์สหรัฐฯ
เงินลงทุนใน Call Option	50 ดอลลาร์สหรัฐฯ
เงินลงทุนใน Put Option	50 ดอลลาร์สหรัฐฯ
วันที่หมดอายุ	1 ชั่วโมง
สถานการณ์ 1: ราคาทองคำสูงกว่า 1820 ดอลลาร์สหรัฐฯ		Put Option: ขาดทุน 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ |
สถานการณ์ 2: ราคาทองคำต่ำกว่า 1780 ดอลลาร์สหรัฐฯ		Call Option: ขาดทุน 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ |
สถานการณ์ 3: ราคาทองคำอยู่ระหว่าง 1780 - 1820 ดอลลาร์สหรัฐฯ		Put Option: ขาดทุน 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ |

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น