Deriv (เดิมชื่อ Binary Options)

Deriv (เดิมชื่อ Binary Options)

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคู่มือสำหรับผู้เริ่มต้นที่สนใจในการซื้อขาย Deriv (เดิมชื่อ Binary Options) ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก แม้ว่าชื่อเดิมจะสื่อถึงความเรียบง่าย แต่ Deriv มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและซับซ้อนกว่าที่หลายคนเข้าใจ เนื้อหาในบทความนี้จะครอบคลุมตั้งแต่พื้นฐานของ Deriv, ประเภทของผลิตภัณฑ์, กลไกการซื้อขาย, การบริหารความเสี่ยง, และกลยุทธ์การซื้อขายที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง

Deriv คืออะไร?

Deriv (เดิมชื่อ Binary Options) เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายทางการเงินออนไลน์ที่ให้บริการผลิตภัณฑ์หลากหลาย รวมถึง CFD (Contract for Difference), Spread Betting, Options และผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า "Binary Options" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแพลตฟอร์มนี้ เดิมที Binary Options ได้รับความนิยมเนื่องจากความเรียบง่ายในการทำความเข้าใจ: ผู้ค้าทำนายว่าราคาของสินทรัพย์จะสูงขึ้นหรือต่ำลงภายในระยะเวลาที่กำหนด หากทำนายถูกต้อง จะได้รับผลตอบแทนที่ตกลงไว้ล่วงหน้า หากผิดพลาด จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม Deriv ได้พัฒนาไปไกลกว่า Binary Options แบบดั้งเดิม โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้ผู้ค้าสามารถปรับกลยุทธ์การซื้อขายให้เข้ากับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเป้าหมายทางการเงินของตนเองได้

ประเภทของผลิตภัณฑ์ Deriv

Deriv มีผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภทให้เลือกซื้อขาย ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะและเหมาะกับผู้ค้าที่มีความเสี่ยงและเป้าหมายที่แตกต่างกัน:

Binary Options (BO): เป็นผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมของ Deriv ผู้ค้าทำนายว่าราคาของสินทรัพย์จะสูงขึ้น (Call) หรือต่ำลง (Put) ภายในระยะเวลาที่กำหนด หากทำนายถูกต้อง จะได้รับผลตอบแทนที่ตกลงไว้ล่วงหน้า
Digital Options: คล้ายกับ Binary Options แต่มีผลตอบแทนที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความแม่นยำของการคาดการณ์ หากราคาของสินทรัพย์สิ้นสุดเหนือหรือต่ำกว่าราคาเป้าหมาย ผลตอบแทนจะสูงกว่า แต่หากราคาใกล้เคียงกับราคาเป้าหมาย ผลตอบแทนจะลดลง
CFD (Contract for Difference): เป็นสัญญาที่อนุญาตให้ผู้ค้าซื้อขายความแตกต่างของราคาของสินทรัพย์ โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นจริงๆ CFD เหมาะสำหรับผู้ค้าที่ต้องการใช้ประโยชน์จากความผันผวนของราคาในระยะสั้น
Forex (Foreign Exchange): การซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก Deriv ให้ผู้ค้าสามารถซื้อขายคู่สกุลเงินหลักๆ ได้
Commodities: การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ Deriv ให้ผู้ค้าสามารถเข้าถึงตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โลกได้
Stock Indices: การซื้อขายดัชนีหุ้น เช่น S&P 500, NASDAQ และ FTSE 100 Deriv ให้ผู้ค้าสามารถลงทุนในตลาดหุ้นได้โดยไม่ต้องซื้อหุ้นรายตัว
Cryptocurrencies: การซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin, Ethereum และ Litecoin Deriv ให้ผู้ค้าสามารถเข้าถึงตลาดสกุลเงินดิจิทัลที่กำลังเติบโตได้

กลไกการซื้อขาย Deriv

การซื้อขายบน Deriv ทำได้ผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ที่ใช้งานง่าย แพลตฟอร์มนี้มีเครื่องมือและกราฟที่จำเป็นสำหรับการวิเคราะห์ตลาดและการตัดสินใจซื้อขาย

ขั้นตอนการซื้อขายโดยทั่วไปมีดังนี้:

1. เลือกสินทรัพย์: เลือกสินทรัพย์ที่ต้องการซื้อขาย เช่น สกุลเงิน, หุ้น, หรือสินค้าโภคภัณฑ์ 2. เลือกประเภทผลิตภัณฑ์: เลือกประเภทของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการซื้อขาย เช่น Binary Options, CFD, หรือ Forex 3. วิเคราะห์ตลาด: ศึกษาและวิเคราะห์ตลาดโดยใช้เครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิค (เช่น Moving Averages, Relative Strength Index (RSI), MACD) และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (เช่น ข่าวเศรษฐกิจ, รายงานผลประกอบการของบริษัท) 4. กำหนดจำนวนเงินลงทุน: กำหนดจำนวนเงินที่ต้องการลงทุนในการซื้อขายแต่ละครั้ง 5. เลือกทิศทาง: ทำนายว่าราคาของสินทรัพย์จะสูงขึ้น (Call/Buy) หรือต่ำลง (Put/Sell) 6. ระยะเวลาหมดอายุ: กำหนดระยะเวลาที่สัญญาจะหมดอายุ (สำหรับ Binary Options และ Digital Options) หรือระยะเวลาที่ต้องการถือครองตำแหน่ง (สำหรับ CFD และ Forex) 7. ยืนยันคำสั่งซื้อขาย: ตรวจสอบรายละเอียดของคำสั่งซื้อขายและยืนยัน

การบริหารความเสี่ยงในการซื้อขาย Deriv

การซื้อขาย Deriv มีความเสี่ยงสูง ผู้ค้าควรตระหนักถึงความเสี่ยงเหล่านี้และบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันการสูญเสียเงินลงทุน

การกำหนดขนาดตำแหน่ง: กำหนดขนาดของตำแหน่งซื้อขายให้เหมาะสมกับขนาดของบัญชีและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยทั่วไปไม่ควรลงทุนเกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดในการซื้อขายแต่ละครั้ง (ดู Position Sizing)
การตั้งค่า Stop-Loss: ตั้งค่า Stop-Loss เพื่อจำกัดการสูญเสียสูงสุดที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขายแต่ละครั้ง (ดู Stop-Loss Order)
การใช้ Take-Profit: ตั้งค่า Take-Profit เพื่อล็อคผลกำไรเมื่อราคาถึงระดับที่ต้องการ (ดู Take-Profit Order)
การกระจายความเสี่ยง: กระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในสินทรัพย์และผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย
การควบคุมอารมณ์: ควบคุมอารมณ์และความกลัวในการซื้อขาย อย่าตัดสินใจซื้อขายโดยใช้อารมณ์
การเรียนรู้และพัฒนา: เรียนรู้และพัฒนาทักษะการซื้อขายอย่างต่อเนื่อง (เช่น Technical Analysis, Fundamental Analysis, Risk Management)

กลยุทธ์การซื้อขาย Deriv

มีกลยุทธ์การซื้อขาย Deriv มากมายที่ผู้ค้าสามารถนำไปปรับใช้ได้ ขึ้นอยู่กับสไตล์การซื้อขายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้

Trend Following: ซื้อขายตามแนวโน้มของราคา โดยซื้อเมื่อราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และขายเมื่อราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง (ดู Moving Average Crossover)
Range Trading: ซื้อขายเมื่อราคาเคลื่อนที่อยู่ในช่วงแคบๆ โดยซื้อเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับต่ำสุด และขายเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับสูงสุด (ดู Support and Resistance)
Breakout Trading: ซื้อขายเมื่อราคาทะลุระดับแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ (ดู Breakout Pattern)
Scalping: ทำกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น โดยเปิดและปิดตำแหน่งซื้อขายอย่างรวดเร็ว (ดู Day Trading และ High-Frequency Trading)
News Trading: ซื้อขายตามข่าวเศรษฐกิจและเหตุการณ์สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาด (ดู Economic Calendar)
Pin Bar Strategy: กลยุทธ์ที่ใช้รูปแบบ Pin Bar ในการระบุจุดกลับตัวของราคา (ดู Candlestick Patterns)
Engulfing Pattern Strategy: กลยุทธ์ที่ใช้รูปแบบ Engulfing ในการระบุจุดกลับตัวของราคา (ดู Candlestick Patterns)
Bollinger Bands Strategy: กลยุทธ์ที่ใช้ Bollinger Bands ในการระบุช่วงราคาที่เหมาะสมสำหรับการซื้อขาย (ดู Bollinger Bands)
Fibonacci Retracement Strategy: กลยุทธ์ที่ใช้ Fibonacci Retracement ในการระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ (ดู Fibonacci Retracement)
Ichimoku Cloud Strategy: กลยุทธ์ที่ใช้ Ichimoku Cloud ในการระบุแนวโน้มและจุดเข้าซื้อขาย (ดู Ichimoku Cloud)
Elliott Wave Theory: ทฤษฎีที่ใช้ในการวิเคราะห์รูปแบบราคาของสินทรัพย์ (ดู Elliott Wave Theory)
Volume Spread Analysis (VSA): การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณการซื้อขาย (ดู Volume Spread Analysis)
Harmonic Patterns: การระบุรูปแบบราคาที่ซับซ้อนเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา (ดู Harmonic Patterns)
Option Chain Analysis: การวิเคราะห์ข้อมูล Options เพื่อประเมินความคาดหวังของตลาด (ดู Option Greeks)
Monte Carlo Simulation: การใช้แบบจำลองทางสถิติเพื่อประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวัง (ดู Monte Carlo Simulation)

ข้อควรระวังในการซื้อขาย Deriv

ความผันผวนของตลาด: ตลาดการเงินมีความผันผวนสูง ราคาของสินทรัพย์อาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่คาดคิด
ความเสี่ยงในการสูญเสียเงินลงทุน: การซื้อขาย Deriv มีความเสี่ยงสูง ผู้ค้าอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด
การหลอกลวง: มีการหลอกลวงและการฉ้อโกงในตลาดการเงิน ผู้ค้าควรระมัดระวังและตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มและโบรกเกอร์
การขาดความรู้และประสบการณ์: ผู้ค้าที่ขาดความรู้และประสบการณ์อาจตัดสินใจซื้อขายที่ไม่ถูกต้องและสูญเสียเงินลงทุน

สรุป

Deriv (เดิมชื่อ Binary Options) เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายทางการเงินที่ให้บริการผลิตภัณฑ์หลากหลาย ผู้ค้าควรทำความเข้าใจลักษณะของผลิตภัณฑ์แต่ละประเภท บริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม และใช้กลยุทธ์การซื้อขายที่เหมาะสมกับสไตล์การซื้อขายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การเรียนรู้และพัฒนาทักษะการซื้อขายอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการซื้อขาย Deriv

การซื้อขายทางการเงิน CFD (Contract for Difference) Spread Betting Options Binary Options Digital Options Forex (Foreign Exchange) Commodities Stock Indices Cryptocurrencies Technical Analysis Fundamental Analysis Risk Management Moving Averages Relative Strength Index (RSI) MACD Position Sizing Stop-Loss Order Take-Profit Order Day Trading High-Frequency Trading Economic Calendar Candlestick Patterns Bollinger Bands Fibonacci Retracement Ichimoku Cloud Elliott Wave Theory Volume Spread Analysis Harmonic Patterns Option Greeks Monte Carlo Simulation (Financial Trading)

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น