สัญญาต่างปลอม (CFD)

บทนำ

สัญญาต่างปลอม (Contract for Difference หรือ CFD) เป็นตราสารอนุพันธ์ทางการเงินที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดทุนทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย CFD ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์อ้างอิงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์, หรือแม้กระทั่งสกุลเงิน โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์เหล่านั้นโดยตรง บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับ CFD สำหรับผู้เริ่มต้น โดยครอบคลุมตั้งแต่ความหมาย, กลไกการทำงาน, ข้อดีข้อเสีย, ความเสี่ยง, กลยุทธ์การเทรด, และการวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้อง

CFD คืออะไร?

CFD คือข้อตกลงระหว่างเทรดเดอร์กับโบรกเกอร์ โดยสัญญาว่าจะชำระส่วนต่างของราคา (difference) ของสินทรัพย์อ้างอิง ณ เวลาเปิดสัญญาและเวลาปิดสัญญา กล่าวคือ เทรดเดอร์จะไม่ได้ซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงโดยตรง แต่เป็นการทำสัญญาเพื่อรับผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคาเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น หากคุณคาดการณ์ว่าราคาหุ้น ABC จะปรับตัวสูงขึ้น คุณสามารถเปิดสถานะซื้อ (long) CFD ของหุ้น ABC หากราคาหุ้น ABC ปรับตัวสูงขึ้นตามที่คุณคาดการณ์ คุณจะได้รับผลตอบแทนเท่ากับส่วนต่างของราคาคูณกับจำนวนหน่วย CFD ที่คุณถือครอง ในทางกลับกัน หากราคาหุ้น ABC ปรับตัวลดลง คุณจะต้องชำระส่วนต่างของราคาให้กับโบรกเกอร์

กลไกการทำงานของ CFD

การเทรด CFD มีกลไกการทำงานที่ค่อนข้างง่าย แต่มีความซับซ้อนในรายละเอียดที่ต้องทำความเข้าใจ ดังนี้

**สินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset):** คือสินทรัพย์ที่ CFD อ้างอิงราคา เช่น หุ้น, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์, หรือสกุลเงิน
**เลเวอเรจ (Leverage):** CFD มีคุณสมบัติที่เรียกว่า เลเวอเรจ ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมมูลค่าการซื้อขายที่สูงกว่าเงินทุนของตนเองได้ ตัวอย่างเช่น หากโบรกเกอร์เสนอเลเวอเรจ 1:10 หมายความว่าด้วยเงินทุน 1,000 บาท คุณสามารถควบคุมมูลค่าการซื้อขายได้สูงสุด 10,000 บาท แม้ว่าเลเวอเรจจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนด้วยเช่นกัน
**Margin (มาร์จิน):** คือเงินจำนวนหนึ่งที่เทรดเดอร์ต้องฝากไว้กับโบรกเกอร์เพื่อเปิดสถานะ CFD มาร์จินจะถูกใช้เป็นหลักประกันความเสี่ยง หากราคาเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์และทำให้เกิดการขาดทุน มาร์จินของคุณอาจถูกเรียกใช้ (Margin Call)
**Spread (สเปรด):** คือส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid Price) และราคาเสนอขาย (Ask Price) ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์เรียกเก็บจากการเทรด CFD
**ค่าธรรมเนียมการถือครอง (Overnight Funding):** หากคุณถือสถานะ CFD ข้ามคืน คุณอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการถือครองให้กับโบรกเกอร์ ซึ่งคำนวณจากอัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาการถือครอง

ข้อดีและข้อเสียของ CFD

ข้อดีและข้อเสียของ CFD
ข้อดี	ข้อเสีย
สามารถเก็งกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง (Short Selling)	มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากเลเวอเรจ
ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิง	อาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการถือครอง
สามารถใช้เลเวอเรจเพื่อเพิ่มผลตอบแทน	สเปรดอาจกว้างกว่าการซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงโดยตรง
มีความหลากหลายของสินทรัพย์อ้างอิงให้เลือก	โบรกเกอร์บางรายอาจไม่มีความน่าเชื่อถือ
สามารถเข้าถึงตลาดโลกได้ง่าย	Margin Call อาจทำให้เกิดการขาดทุนอย่างรวดเร็ว

ความเสี่ยงในการเทรด CFD

การเทรด CFD มีความเสี่ยงที่สูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์อ้างอิงโดยตรง เนื่องจากมีปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อราคา CFD ได้อย่างรวดเร็ว ความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่

**ความเสี่ยงจากเลเวอเรจ:** เลเวอเรจสามารถขยายผลกำไรได้ แต่ก็สามารถขยายผลขาดทุนได้เช่นกัน หากราคาเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ คุณอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดของคุณได้อย่างรวดเร็ว
**ความเสี่ยงจาก Margin Call:** หากราคาเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์และทำให้มาร์จินของคุณลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนด โบรกเกอร์อาจเรียกใช้ Margin Call ซึ่งหมายความว่าคุณจะต้องฝากเงินเพิ่มเพื่อรักษาตำแหน่งของคุณไว้ หากคุณไม่สามารถฝากเงินเพิ่มได้ โบรกเกอร์อาจปิดสถานะของคุณโดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจทำให้คุณขาดทุน
**ความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด:** ตลาดทุนมีความผันผวนอยู่เสมอ และราคาของสินทรัพย์อ้างอิงอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคา CFD ได้อย่างมีนัยสำคัญ
**ความเสี่ยงจากโบรกเกอร์:** โบรกเกอร์ CFD บางรายอาจไม่มีความน่าเชื่อถือ หรืออาจมีปัญหาทางการเงิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเงินทุนของคุณ

กลยุทธ์การเทรด CFD

มีกลยุทธ์การเทรด CFD มากมายที่เทรดเดอร์สามารถนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมกับสไตล์การเทรดและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ตัวอย่างกลยุทธ์ที่นิยม ได้แก่

**Scalping (Scalping):** การทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาเล็กน้อยในระยะเวลาสั้นๆ
**Day Trading (Day Trading):** การเปิดและปิดสถานะภายในวันเดียวกัน
**Swing Trading (Swing Trading):** การถือสถานะเป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์เพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะกลาง
**Position Trading (Position Trading):** การถือสถานะเป็นเวลานานหลายเดือนหรือหลายปีเพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะยาว
**Trend Following (Trend Following):** การซื้อเมื่อราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และขายเมื่อราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง
**Breakout Trading (Breakout Trading):** การซื้อเมื่อราคาทะลุระดับแนวต้าน หรือขายเมื่อราคาทะลุระดับแนวรับ
**Mean Reversion (Mean Reversion):** การซื้อเมื่อราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และขายเมื่อราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ย
**Fibonacci Retracement (Fibonacci Retracement):** การใช้ระดับ Fibonacci เพื่อคาดการณ์แนวรับและแนวต้าน
**Elliott Wave Theory (Elliott Wave Theory):** การวิเคราะห์รูปแบบของคลื่นราคาเพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต
**Bollinger Bands (Bollinger Bands):** การใช้ Bollinger Bands เพื่อวัดความผันผวนของราคาและระบุโอกาสในการซื้อขาย
**Moving Average Convergence Divergence (MACD) (MACD):** การใช้ MACD เพื่อระบุแนวโน้มและความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
**Relative Strength Index (RSI) (RSI):** การใช้ RSI เพื่อวัดสภาวะการซื้อมากเกินไป (Overbought) และสภาวะการขายมากเกินไป (Oversold)
**Ichimoku Cloud (Ichimoku Cloud):** การใช้ Ichimoku Cloud เพื่อระบุแนวโน้ม, แนวรับ, แนวต้าน, และสัญญาณการซื้อขาย
**Harmonic Patterns (Harmonic Patterns):** การใช้รูปแบบ Harmonic เพื่อคาดการณ์จุดกลับตัวของราคา
**Price Action (Price Action):** การวิเคราะห์รูปแบบของแท่งเทียนและราคาเพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต

การวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับการเทรด CFD

การวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับการเทรด CFD แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่

**การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis):** การวิเคราะห์ปัจจัยทางเศรษฐกิจ, การเมือง, และอุตสาหกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาของสินทรัพย์อ้างอิง
**การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis):** การวิเคราะห์รูปแบบของราคาและปริมาณการซื้อขายเพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต (Candlestick Patterns)
**การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis):** การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายเพื่อยืนยันแนวโน้มและระบุสัญญาณการกลับตัว (On Balance Volume)

การเลือกโบรกเกอร์ CFD

การเลือกโบรกเกอร์ CFD ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้

**ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย:** เลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินที่น่าเชื่อถือ
**ค่าธรรมเนียมและสเปรด:** เปรียบเทียบค่รรมเนียมและสเปรดของโบรกเกอร์แต่ละราย
**แพลตฟอร์มการเทรด:** เลือกแพลตฟอร์มการเทรดที่ใช้งานง่ายและมีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ครบถ้วน
**สินทรัพย์อ้างอิง:** ตรวจสอบว่าโบรกเกอร์มีสินทรัพย์อ้างอิงที่คุณสนใจหรือไม่
**เลเวอเรจ:** เลือกเลเวอเรจที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
**การบริการลูกค้า:** ตรวจสอบว่าโบรกเกอร์มีการบริการลูกค้าที่ดีหรือไม่

สรุป

CFD เป็นเครื่องมือทางการเงินที่สามารถช่วยให้เทรดเดอร์เก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ต่างๆ ได้ อย่างไรก็ตาม การเทรด CFD มีความเสี่ยงที่สูง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในกลไกการทำงาน, ข้อดีข้อเสีย, ความเสี่ยง, กลยุทธ์การเทรด, และการวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดก่อนที่จะเริ่มทำการซื้อขายจริง

การบริหารความเสี่ยง เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเทรด CFD ควรกำหนดขนาดของตำแหน่ง (Position Size) ที่เหมาะสม และใช้ Stop-Loss Order เพื่อจำกัดผลขาดทุน

การลงทุน ในตลาดทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Forex) ก็เป็นตลาดที่ CFD สามารถอ้างอิงได้

การวิเคราะห์ทางเทคนิคขั้นสูง จะช่วยให้คุณเข้าใจสัญญาณการซื้อขายได้แม่นยำขึ้น

การจัดการเงินทุน (Money Management) คือหัวใจสำคัญของการเทรดที่ประสบความสำเร็จ

จิตวิทยาการเทรด (Trading Psychology) มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของคุณอย่างมาก

การใช้เครื่องมือ TradingView ช่วยให้การวิเคราะห์กราฟเป็นเรื่องง่ายขึ้น

การทำความเข้าใจกับ Bollinger Bands ช่วยในการวัดความผันผวนของราคา

การใช้ RSI เพื่อหาจังหวะซื้อขาย เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยม

การประยุกต์ใช้ Fibonacci Retracement ช่วยในการหาแนวรับแนวต้าน

การวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) ช่วยในการทำนายทิศทางราคา

การใช้ MACD เพื่อยืนยันแนวโน้ม ช่วยให้การตัดสินใจแม่นยำขึ้น

การเรียนรู้เกี่ยวกับ Elliott Wave Theory ช่วยให้เข้าใจรูปแบบราคาที่ซับซ้อน

การบริหารความเสี่ยงด้วย Stop-Loss Order ช่วยจำกัดผลขาดทุน

การทำความเข้าใจกับ Leverage และ Margin สำคัญต่อการเทรด CFD

การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม เป็นขั้นตอนสำคัญก่อนเริ่มเทรด

การติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ ช่วยในการวิเคราะห์พื้นฐาน

การใช้ Economic Calendar ช่วยในการวางแผนการเทรด

การประเมินความเสี่ยงส่วนบุคคล ช่วยในการกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสม

การทำบัญชีการเทรด ช่วยในการวิเคราะห์ผลการเทรด

การป้องกันการหลอกลวงทางการเงิน (Financial Scams)

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น