การสร้างสูตร

1. การ สร้าง สูตร ใน ไบนารี่ ออปชั่น สำหรับ ผู้ เริ่ม ต้น

การเทรด ไบนารี่ออปชั่น เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีศักยภาพในการทำกำไรที่สูงเช่นกัน หนึ่งในวิธีที่เทรดเดอร์ใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรคือการใช้ “สูตร” หรือที่เรียกว่า กลยุทธ์การเทรด สูตรเหล่านี้ไม่ได้มีความหมายว่าจะเป็นวิธีที่รับประกันผลกำไร แต่เป็นชุดของกฎเกณฑ์และเงื่อนไขที่เทรดเดอร์ใช้เพื่อตัดสินใจว่าจะเข้าหรือออกจากตลาด บทความนี้จะอธิบายถึงการสร้างสูตรสำหรับการเทรดไบนารี่ออปชั่นอย่างละเอียดสำหรับผู้เริ่มต้น

ทำไมต้องสร้างสูตร?

การเทรดโดยไม่มีสูตรหรือแผนการที่ชัดเจน เปรียบเสมือนการเดินเข้าไปในป่าโดยไม่มีแผนที่ โอกาสที่จะหลงทางและสูญเสียเงินทุนมีสูงมาก สูตรช่วยให้คุณ:

• **ลดอคติทางอารมณ์:** การตัดสินใจเทรดโดยอิงจากอารมณ์สามารถนำไปสู่ข้อผิดพลาดได้ สูตรช่วยให้คุณตัดสินใจตามหลักการที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
• **เพิ่มความสม่ำเสมอ:** การมีสูตรช่วยให้คุณเทรดอย่างสม่ำเสมอตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาทักษะการเทรด
• **ทดสอบและปรับปรุง:** สูตรสามารถนำไปทดสอบย้อนหลัง (backtesting) และปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
• **บริหารความเสี่ยง:** สูตรที่ดีควรมีกฎเกณฑ์ในการบริหารความเสี่ยง เช่น ขนาดการลงทุนและระดับการหยุดขาดทุน (stop-loss)

ขั้นตอนการสร้างสูตร

1. **เลือกสินทรัพย์ (Asset):** ขั้นตอนแรกคือการเลือกสินทรัพย์ที่คุณต้องการเทรด สินทรัพย์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ สกุลเงิน (เช่น EUR/USD, GBP/USD), ดัชนีหุ้น (เช่น S&P 500, Dow Jones), และสินค้าโภคภัณฑ์ (เช่น ทองคำ, น้ำมัน) การเลือกสินทรัพย์ควรพิจารณาจากความผันผวน (volatility) และความรู้ความเข้าใจของคุณเกี่ยวกับสินทรัพย์นั้นๆ

2. **เลือกกรอบเวลา (Timeframe):** กรอบเวลาคือช่วงเวลาที่คุณจะใช้ในการวิเคราะห์กราฟและตัดสินใจเทรด กรอบเวลาที่นิยมใช้ ได้แก่ 5 นาที, 15 นาที, 30 นาที, 1 ชั่วโมง และ 4 ชั่วโมง การเลือกกรอบเวลาขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของคุณ (เช่น Scalping, Day Trading, Swing Trading)

3. **เลือกตัวชี้วัดทางเทคนิค (Technical Indicators):** ตัวชี้วัดทางเทคนิคเป็นเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์กราฟราคาและระบุแนวโน้มและสัญญาณการเทรด ตัวชี้วัดที่นิยมใช้ ได้แก่:

   *   **Moving Averages (MA):** ใช้เพื่อระบุแนวโน้มของราคา (ดูรายละเอียดที่ Moving Average)
   *   **Relative Strength Index (RSI):** ใช้เพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มและระบุภาวะซื้อมากเกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) (ดูรายละเอียดที่ RSI)
   *   **Moving Average Convergence Divergence (MACD):** ใช้เพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มและความแข็งแกร่งของแนวโน้ม (ดูรายละเอียดที่ MACD)
   *   **Bollinger Bands:** ใช้เพื่อวัดความผันผวนของราคาและระบุช่วงราคาที่เป็นไปได้ (ดูรายละเอียดที่ Bollinger Bands)
   *   **Fibonacci Retracement:** ใช้เพื่อระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่อาจเกิดขึ้น (ดูรายละเอียดที่ Fibonacci Retracement)

4. **กำหนดเงื่อนไขการเข้า (Entry Conditions):** กำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนว่าเมื่อใดคุณจะเข้าเทรด ตัวอย่างเช่น:

   *   เมื่อ RSI ต่ำกว่า 30 (oversold) และราคาตัดขึ้นเหนือเส้น Moving Average
   *   เมื่อ MACD ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal Line
   *   เมื่อราคาแตะระดับ Fibonacci Retracement ที่ 61.8% และมีการเกิดสัญญาณเทียนกลับตัว (candlestick pattern) เช่น Engulfing Pattern หรือ Hammer Pattern

5. **กำหนดเงื่อนไขการออก (Exit Conditions):** กำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนว่าเมื่อใดคุณจะออกจากเทรด (ไม่ว่าจะเป็นการทำกำไรหรือการขาดทุน) ตัวอย่างเช่น:

   *   เมื่อราคาถึงเป้าหมายกำไรที่กำหนด (profit target)
   *   เมื่อ RSI สูงกว่า 70 (overbought)
   *   เมื่อราคาตัดลงต่ำกว่าเส้น Moving Average
   *   เมื่อถึงระดับ Stop-Loss ที่กำหนดไว้

6. **กำหนดขนาดการลงทุน (Position Sizing):** กำหนดจำนวนเงินที่คุณจะลงทุนในแต่ละเทรด โดยทั่วไปแนะนำให้ลงทุนไม่เกิน 1-5% ของเงินทุนทั้งหมดของคุณ เพื่อลดความเสี่ยง

7. **ทดสอบสูตร (Backtesting):** นำสูตรของคุณไปทดสอบกับข้อมูลย้อนหลัง (historical data) เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของสูตร หากสูตรไม่ทำงานได้ตามที่คาดหวัง ให้ปรับปรุงเงื่อนไขต่างๆ จนกว่าจะได้สูตรที่ให้ผลลัพธ์ที่ดี

ตัวอย่างสูตรสำหรับการเทรดไบนารี่ออปชั่น

• • สูตร Simple Moving Average Crossover:**

• **สินทรัพย์:** EUR/USD
• **กรอบเวลา:** 15 นาที
• **ตัวชี้วัด:** เส้น Moving Average 2 เส้น (เส้นสั้น 5 ช่วงเวลา และเส้นยาว 20 ช่วงเวลา)
• **เงื่อนไขการเข้า:**

   *   **Call Option:** เมื่อเส้นสั้นตัดขึ้นเหนือเส้นยาว
   *   **Put Option:** เมื่อเส้นสั้นตัดลงต่ำกว่าเส้นยาว

• **เงื่อนไขการออก:** เมื่อถึงเป้าหมายกำไรที่ 70% หรือเมื่อถึงระดับ Stop-Loss ที่ 30%
• **ขนาดการลงทุน:** 2% ของเงินทุนทั้งหมด

การบริหารความเสี่ยง

การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเทรดไบนารี่ออปชั่น ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับบางประการ:

• **กำหนด Stop-Loss:** กำหนดระดับราคาที่คุณจะยอมรับการขาดทุนในแต่ละเทรด
• **อย่าลงทุนเกินตัว:** ลงทุนเฉพาะเงินที่คุณสามารถเสียได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของคุณ
• **กระจายความเสี่ยง:** อย่าลงทุนในสินทรัพย์เพียงอย่างเดียว
• **ควบคุมอารมณ์:** อย่าปล่อยให้อารมณ์เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจเทรด
• **เรียนรู้และปรับปรุง:** ศึกษาและพัฒนาทักษะการเทรดของคุณอยู่เสมอ

กลยุทธ์เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง

• Pin Bar Strategy: กลยุทธ์ที่ใช้รูปแบบแท่งเทียน Pin Bar ในการระบุสัญญาณการกลับตัวของราคา
• Three Inside Bar Strategy: กลยุทธ์ที่ใช้รูปแบบแท่งเทียน Three Inside Bar ในการระบุสัญญาณการต่อเนื่องของแนวโน้ม
• Trend Following Strategy: กลยุทธ์ที่เทรดตามแนวโน้มของราคา
• Breakout Strategy: กลยุทธ์ที่เทรดเมื่อราคา breakout จากระดับแนวรับหรือแนวต้าน
• Support and Resistance Strategy: กลยุทธ์ที่ใช้ระดับแนวรับและแนวต้านในการตัดสินใจเทรด
• News Trading: กลยุทธ์ที่เทรดตามข่าวเศรษฐกิจและเหตุการณ์สำคัญต่างๆ
• Hedging: กลยุทธ์ที่ใช้เพื่อลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคา
• Martingale Strategy: กลยุทธ์ที่เพิ่มขนาดการลงทุนเป็นสองเท่าหลังจากการขาดทุน (มีความเสี่ยงสูง)
• Anti-Martingale Strategy: กลยุทธ์ที่ลดขนาดการลงทุนหลังจากการขาดทุน (มีความเสี่ยงต่ำกว่า Martingale)
• Straddle Strategy: กลยุทธ์ที่ซื้อทั้ง Call Option และ Put Option พร้อมกัน
• Strangle Strategy: กลยุทธ์ที่ซื้อ Call Option และ Put Option ที่มีราคาใช้สิทธิแตกต่างกัน
• Butterfly Spread: กลยุทธ์ที่ใช้การรวมกันของ Call Option และ Put Option เพื่อจำกัดความเสี่ยงและผลกำไร
• Iron Condor: กลยุทธ์ที่ใช้การรวมกันของ Call Option และ Put Option เพื่อสร้างช่วงราคาที่คาดหวัง
• Bollinger Band Squeeze: กลยุทธ์ที่ใช้ Bollinger Bands เพื่อระบุช่วงเวลาที่ราคาอาจมีความผันผวนสูง
• Ichimoku Cloud Strategy: กลยุทธ์ที่ใช้ Ichimoku Cloud เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและสัญญาณการเทรด

สรุป

การสร้างสูตรสำหรับการเทรดไบนารี่ออปชั่นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ และการฝึกฝน การมีสูตรที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณเทรดอย่างมีสติ ลดอคติทางอารมณ์ และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมและเรียนรู้ที่จะปรับปรุงสูตรของคุณอยู่เสมอ

ตัวอย่างตารางสรุปขั้นตอนการสร้างสูตร

ขั้นตอน	รายละเอียด
1. เลือกสินทรัพย์	เลือกสินทรัพย์ที่คุณมีความรู้ความเข้าใจ
2. เลือกกรอบเวลา	เลือกกรอบเวลาที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ
3. เลือกตัวชี้วัด	เลือกตัวชี้วัดทางเทคนิคที่ช่วยวิเคราะห์แนวโน้ม
4. กำหนดเงื่อนไขการเข้า	กำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนว่าจะเข้าเทรดเมื่อใด
5. กำหนดเงื่อนไขการออก	กำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนว่าจะออกจากเทรดเมื่อใด
6. กำหนดขนาดการลงทุน	กำหนดขนาดการลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่คุณรับได้
7. ทดสอบสูตร	ทดสอบสูตรกับข้อมูลย้อนหลังเพื่อประเมินประสิทธิภาพ

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น