การซื้อขายแบบ Scalping (Scalping)

1. การซื้อขายแบบ Scalping (Scalping)

การซื้อขายแบบ Scalping หรือที่เรียกว่า Scalping เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่เน้นการทำกำไรจากความผันผวนของราคาเล็กน้อยในระยะเวลาอันสั้นมาก โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ทำการ Scalping จะเปิดและปิดสถานะการซื้อขายหลายครั้งภายในวันเดียว หรือแม้กระทั่งภายในไม่กี่นาที กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนที่รวดเร็ว แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการซื้อขายแบบ Scalping ในบริบทของ ไบนารี่ออปชั่น สำหรับผู้เริ่มต้น

หลักการพื้นฐานของการ Scalping

หัวใจสำคัญของการ Scalping คือการจับจังหวะการเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กน้อย และใช้ประโยชน์จากส่วนต่างของราคาเหล่านั้น การทำกำไรแต่ละครั้งอาจมีน้อย แต่เมื่อรวมกันแล้วจากการทำธุรกรรมจำนวนมาก จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจได้ อย่างไรก็ตาม การ Scalping ต้องอาศัยความเร็ว ความแม่นยำ และวินัยอย่างมาก

• **กรอบเวลา (Timeframe):** Scalper ส่วนใหญ่มักใช้กรอบเวลาที่สั้นมาก เช่น 1 นาที, 5 นาที หรือ 15 นาที เพื่อจับการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การใช้กรอบเวลาที่สั้นลงจะทำให้มีโอกาสในการซื้อขายมากขึ้น แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงจากสัญญาณรบกวน (Noise) ในตลาด
• **เป้าหมายกำไร (Profit Target):** กำไรที่ตั้งไว้สำหรับการซื้อขายแต่ละครั้งมักจะน้อยมาก เช่น 1-2% ของเงินทุนที่ใช้ในการซื้อขาย การตั้งเป้าหมายกำไรที่สมเหตุสมผลเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
• **การบริหารความเสี่ยง (Risk Management):** เนื่องจาก Scalping เกี่ยวข้องกับการซื้อขายจำนวนมาก การบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การกำหนดขนาดของ Position ที่เหมาะสมและการใช้ Stop-Loss Order เป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันการสูญเสียเงินทุนจำนวนมาก
• **ค่าธรรมเนียม (Fees):** เนื่องจากมีการซื้อขายจำนวนมาก ค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย (Brokerage Fees) อาจมีผลกระทบต่อผลกำไรโดยรวมอย่างมาก ดังนั้น การเลือก Broker ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำจึงเป็นสิ่งสำคัญ

เครื่องมือและตัวชี้วัดที่ใช้ในการ Scalping

การ Scalping อาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เป็นหลัก เพื่อระบุโอกาสในการซื้อขายที่เหมาะสม เครื่องมือและตัวชี้วัดที่นิยมใช้ในการ Scalping มีดังนี้:

• **Moving Averages (MA):** ใช้เพื่อระบุแนวโน้ม (Trend) ของราคา และจุดตัดของเส้น MA สามารถใช้เป็นสัญญาณซื้อขายได้ Moving Average
• **Bollinger Bands:** ใช้เพื่อวัดความผันผวนของราคา และระบุช่วงราคาที่อาจมีการกลับตัว Bollinger Bands
• **Relative Strength Index (RSI):** ใช้เพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม และระบุสภาวะ Overbought หรือ Oversold Relative Strength Index
• **Stochastic Oscillator:** คล้ายกับ RSI แต่ใช้ในการระบุจุดกลับตัวของราคาที่แม่นยำยิ่งขึ้น Stochastic Oscillator
• **MACD (Moving Average Convergence Divergence):** ใช้เพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม และความแข็งแกร่งของแนวโน้ม MACD
• **Pivot Points:** ใช้เพื่อระบุระดับแนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) ที่สำคัญ Pivot Points
• **Volume:** การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) สามารถช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้ม และระบุสัญญาณการกลับตัว Volume Analysis
• **Candlestick Patterns:** รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับความรู้สึกของตลาด และระบุโอกาสในการซื้อขาย Candlestick Patterns

กลยุทธ์ Scalping ในไบนารี่ออปชั่น

มีกลยุทธ์ Scalping หลายรูปแบบที่สามารถใช้ในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่นได้ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างบางส่วน:

1. **กลยุทธ์ Moving Average Crossover:** ใช้การตัดกันของเส้น Moving Average สองเส้น (เช่น เส้น MA 5 นาที และ เส้น MA 10 นาที) เป็นสัญญาณซื้อขาย เมื่อเส้น MA ที่สั้นกว่าตัดขึ้นเหนือเส้น MA ที่ยาวกว่า จะเป็นสัญญาณซื้อ (Call Option) และเมื่อเส้น MA ที่สั้นกว่าตัดลงต่ำกว่าเส้น MA ที่ยาวกว่า จะเป็นสัญญาณขาย (Put Option) Moving Average Crossover Strategy 2. **กลยุทธ์ Bollinger Bands Bounce:** รอให้ราคาแตะขอบบนหรือขอบล่างของ Bollinger Bands และคาดการณ์ว่าราคาจะเด้งกลับเข้าสู่ช่วงกลางของ Bands หากราคาแตะขอบบน จะเปิด Position ขาย (Put Option) และหากราคาแตะขอบล่าง จะเปิด Position ซื้อ (Call Option) Bollinger Bands Bounce Strategy 3. **กลยุทธ์ RSI Overbought/Oversold:** ใช้ RSI เพื่อระบุสภาวะ Overbought (RSI > 70) และ Oversold (RSI < 30) เมื่อ RSI อยู่ในสภาวะ Overbought จะเปิด Position ขาย (Put Option) และเมื่อ RSI อยู่ในสภาวะ Oversold จะเปิด Position ซื้อ (Call Option) RSI Overbought/Oversold Strategy 4. **กลยุทธ์ News Scalping:** ใช้ประโยชน์จากข่าวสารเศรษฐกิจที่สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาด เมื่อมีข่าวสารออกมา จะเปิด Position ตามทิศทางที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นจากข่าวสารนั้น News Scalping Strategy 5. **กลยุทธ์ Pin Bar:** รอการเกิดรูปแบบ Pin Bar บนกราฟราคา ซึ่งบ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้ม หาก Pin Bar เกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น จะเปิด Position ขาย (Put Option) และหาก Pin Bar เกิดขึ้นในแนวโน้มขาลง จะเปิด Position ซื้อ (Call Option) Pin Bar Strategy 6. **กลยุทธ์ 1-Minute Strategy:** เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการใช้กรอบเวลา 1 นาที และใช้ตัวชี้วัด เช่น RSI หรือ Stochastic Oscillator เพื่อระบุสัญญาณซื้อขายที่รวดเร็ว 1-Minute Strategy 7. **กลยุทธ์ Price Action:** วิเคราะห์รูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาโดยตรง โดยไม่ต้องใช้ตัวชี้วัดใดๆ Price Action 8. **กลยุทธ์ Support and Resistance:** ใช้ระดับแนวรับและแนวต้านเป็นจุดในการเปิดและปิด Position Support and Resistance 9. **กลยุทธ์ Breakout:** รอการทะลุ (Breakout) ของแนวต้านหรือแนวรับ และเปิด Position ตามทิศทางการทะลุ Breakout Strategy 10. **กลยุทธ์ Reversal Patterns:** ค้นหารูปแบบการกลับตัวของแนวโน้ม เช่น Head and Shoulders, Double Top, Double Bottom Reversal Patterns 11. **กลยุทธ์ Trend Following:** ตามแนวโน้มของราคา และเปิด Position ตามทิศทางของแนวโน้ม Trend Following 12. **กลยุทธ์ Fibonacci Retracement:** ใช้ระดับ Fibonacci Retracement เพื่อระบุจุดกลับตัวของราคา Fibonacci Retracement 13. **กลยุทธ์ Harmonic Patterns:** ค้นหารูปแบบ Harmonic เช่น Gartley, Butterfly, Crab Harmonic Patterns 14. **กลยุทธ์ Ichimoku Cloud:** ใช้ Ichimoku Cloud เพื่อระบุแนวโน้มและระดับแนวรับแนวต้าน Ichimoku Cloud 15. **กลยุทธ์ Three Indian Soldiers/Three Black Crows:** ค้นหารูปแบบแท่งเทียนที่บ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้ม Three Indian Soldiers/Three Black Crows

ตัวอย่างการเปรียบเทียบกลยุทธ์ Scalping

กลยุทธ์	กรอบเวลา	ตัวชี้วัดหลัก	ระดับความเสี่ยง
Moving Average Crossover	1-5 นาที	Moving Averages	ปานกลาง
Bollinger Bands Bounce	1-5 นาที	Bollinger Bands	ปานกลาง
RSI Overbought/Oversold	1-5 นาที	RSI	ปานกลาง
News Scalping	1 นาที	ข่าวสารเศรษฐกิจ	สูง
Pin Bar	5-15 นาที	Candlestick Patterns	ปานกลาง

ข้อดีและข้อเสียของการ Scalping

• • ข้อดี:**

• **ผลตอบแทนที่รวดเร็ว:** สามารถทำกำไรได้ในระยะเวลาอันสั้น
• **ความยืดหยุ่น:** สามารถปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้
• **โอกาสในการซื้อขายจำนวนมาก:** มีโอกาสในการซื้อขายมากมายตลอดทั้งวัน

• • ข้อเสีย:**

• **ความเสี่ยงสูง:** ต้องใช้การบริหารความเสี่ยงอย่างระมัดระวัง
• **ความเครียดสูง:** ต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
• **ค่าธรรมเนียมสูง:** ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายอาจมีผลกระทบต่อผลกำไร
• **ต้องใช้สมาธิสูง:** ต้องจดจ่ออยู่กับหน้าจอเป็นเวลานาน

คำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น

• **ฝึกฝนด้วยบัญชี Demo:** ก่อนที่จะเริ่มซื้อขายด้วยเงินจริง ควรฝึกฝนด้วยบัญชี Demo เพื่อทำความเข้าใจกลไกการซื้อขายและทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ
• **เริ่มต้นด้วย Position Size ที่เล็ก:** เริ่มต้นด้วยขนาด Position ที่เล็ก เพื่อลดความเสี่ยงในการสูญเสียเงินทุน
• **ใช้ Stop-Loss Order เสมอ:** กำหนด Stop-Loss Order เพื่อจำกัดการสูญเสียในกรณีที่ราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คาดการณ์ไว้
• **มีวินัยในการซื้อขาย:** ปฏิบัติตามแผนการซื้อขายอย่างเคร่งครัด และหลีกเลี่ยงการตัดสินใจตามอารมณ์
• **ศึกษาและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง:** เรียนรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์การซื้อขายใหม่ๆ และติดตามข่าวสารเกี่ยวกับตลาดอยู่เสมอ

สรุป

การซื้อขายแบบ Scalping เป็นกลยุทธ์ที่ท้าทาย แต่ก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจได้หากทำอย่างถูกต้อง การทำความเข้าใจหลักการพื้นฐาน การเลือกใช้เครื่องมือและตัวชี้วัดที่เหมาะสม การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ และการมีวินัยในการซื้อขายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จในการ Scalping

การซื้อขายไบนารี่ออปชั่น การวิเคราะห์ทางเทคนิค การบริหารความเสี่ยง แนวโน้มของตลาด การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย กลยุทธ์การซื้อขาย

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น