เทรด Binary Options

1. 1. เทรด ไบนารี่ ออปชั่น สำหรับ ผู้เริ่มต้น

ไบนารี่ออปชั่น (Binary Options) เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยความเรียบง่ายในการทำความเข้าใจ และศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สูง อย่างไรก็ตาม การเทรดไบนารี่ออปชั่นมีความเสี่ยงสูง และจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องก่อนเริ่มต้น บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับผู้เริ่มต้นที่สนใจในการเทรดไบนารี่ออปชั่น โดยจะครอบคลุมตั้งแต่แนวคิดพื้นฐาน กลไกการทำงาน กลยุทธ์การเทรด การบริหารความเสี่ยง และข้อควรระวัง

1. 1. 1. ไบนารี่ออปชั่น คืออะไร?

ไบนารี่ออปชั่น คือ สัญญาทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนเป็นจำนวนเงินที่แน่นอน หากการคาดการณ์ของคุณถูกต้อง หรือสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด หากการคาดการณ์ของคุณผิดพลาด ชื่อ "ไบนารี่" มาจากผลลัพธ์ที่เป็นไปได้เพียงสองแบบ คือ "สำเร็จ" หรือ "ล้มเหลว" (Binary: 0 หรือ 1)

• • ตัวอย่าง:** สมมติว่าคุณคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะสูงขึ้นภายใน 60 วินาที คุณซื้อไบนารี่ออปชั่น โดยลงทุน 1000 บาท หากราคาทองคำสูงขึ้นจริง คุณจะได้รับผลตอบแทน 1800 บาท (ผลตอบแทน 80%) แต่หากราคาทองคำลดลง คุณจะเสียเงินลงทุน 1000 บาททั้งหมด

1. 1. 1. กลไกการทำงานของ ไบนารี่ ออปชั่น

การเทรดไบนารี่ออปชั่นเริ่มต้นด้วยการเลือกสินทรัพย์พื้นฐาน (Underlying Asset) ที่ต้องการเทรด สินทรัพย์พื้นฐานเหล่านี้อาจเป็นหุ้น หุ้น สกุลเงิน อัตราแลกเปลี่ยน สินค้าโภคภัณฑ์ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือดัชนีตลาด ดัชนีตลาด จากนั้นคุณจะต้องเลือกว่าราคาของสินทรัพย์นั้นจะสูงขึ้น (Call Option) หรือต่ำลง (Put Option) ภายในระยะเวลาที่กำหนด (Expiration Time)

• **Call Option:** คาดการณ์ว่าราคาจะสูงขึ้น
• **Put Option:** คาดการณ์ว่าราคาจะต่ำลง
• **Expiration Time:** ระยะเวลาที่สัญญาไบนารี่ออปชั่นมีผลบังคับใช้ ซึ่งอาจเป็นวินาที นาที หรือชั่วโมง

เมื่อคุณเลือกตัวเลือกแล้ว คุณจะต้องกำหนดจำนวนเงินลงทุน (Investment Amount) ที่ต้องการใช้ในการเทรด หลังจากนั้น ระบบจะคำนวณผลตอบแทนที่อาจได้รับ (Payout) โดยผลตอบแทนจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์และสินทรัพย์ที่เลือก

1. 1. 1. ประเภทของ ไบนารี่ ออปชั่น

ไบนารี่ออปชั่นมีหลายประเภท แต่ที่นิยมมากที่สุดมีดังนี้:

• **High/Low (High-Low):** ประเภทพื้นฐานที่สุด คาดการณ์ว่าราคาจะสูงกว่าหรือต่ำกว่าราคาปัจจุบันเมื่อถึงวันหมดอายุ
• **Touch/No Touch:** คาดการณ์ว่าราคาจะ "แตะ" (Touch) หรือ "ไม่แตะ" (No Touch) ระดับราคาที่กำหนดก่อนวันหมดอายุ
• **Boundary:** คาดการณ์ว่าราคาจะอยู่ในช่วง (Boundary) หรือนอกช่วง (Outside Boundary) ที่กำหนดก่อนวันหมดอายุ

1. 1. 1. กลยุทธ์การเทรด ไบนารี่ ออปชั่น

การเทรดไบนารี่ออปชั่นอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและสอดคล้องกับสไตล์การเทรดของคุณ ต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์ที่นิยมใช้กัน:

1. **Trend Following (ตามแนวโน้ม):** เป็นกลยุทธ์ที่ง่ายที่สุด โดยจะเทรดตามแนวโน้มของราคา หากราคามีแนวโน้มสูงขึ้น ให้เลือก Call Option และหากราคามีแนวโน้มลดลง ให้เลือก Put Option การวิเคราะห์แนวโน้ม 2. **Support and Resistance (แนวรับและแนวต้าน):** ระบุระดับแนวรับและแนวต้านบนกราฟราคา และเทรดเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับเหล่านี้ แนวรับแนวต้าน 3. **Moving Average Crossover (เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ตัดกัน):** ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้นที่มีระยะเวลาต่างกัน เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัดขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว ให้พิจารณาซื้อ Call Option และเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว ให้พิจารณาซื้อ Put Option เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 4. **Bollinger Bands (แถบ Bollinger):** ใช้แถบ Bollinger เพื่อวัดความผันผวนของราคา หากราคาทะลุแถบ Bollinger ด้านบน ให้พิจารณาซื้อ Call Option และหากราคาทะลุแถบ Bollinger ด้านล่าง ให้พิจารณาซื้อ Put Option Bollinger Bands 5. **Pin Bar Strategy:** ค้นหารูปแบบ Pin Bar บนกราฟราคา ซึ่งเป็นรูปแบบที่บ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้ม Pin Bar 6. **Engulfing Bar Strategy:** ค้นหารูปแบบ Engulfing Bar บนกราฟราคา ซึ่งเป็นรูปแบบที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม Engulfing Bar 7. **Japanese Candlestick Patterns (รูปแบบแท่งเทียนญี่ปุ่น):** ศึกษาและใช้ประโยชน์จากรูปแบบแท่งเทียนญี่ปุ่นต่างๆ เพื่อคาดการณ์ทิศทางของราคา แท่งเทียนญี่ปุ่น 8. **Straddle Strategy:** ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะมีความผันผวนสูง แต่ไม่แน่ใจว่าราคาจะขึ้นหรือลง โดยจะซื้อทั้ง Call และ Put Option พร้อมกัน 9. **Strangle Strategy:** คล้ายกับ Straddle แต่ใช้ Strike Price ที่แตกต่างกัน เพื่อลดต้นทุน 10. **Hedging Strategy (กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง):** ใช้เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน โดยการเปิดสถานะที่ตรงข้ามกับสถานะเดิม 11. **Martingale Strategy:** เพิ่มเงินลงทุนเป็นสองเท่าทุกครั้งที่แพ้ เพื่อให้ได้กำไรเมื่อชนะ แต่กลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงสูงมาก 12. **Anti-Martingale Strategy:** ลดเงินลงทุนลงครึ่งหนึ่งทุกครั้งที่แพ้ และเพิ่มเงินลงทุนเป็นสองเท่าเมื่อชนะ 13. **Fibonacci Retracement (การถดถอย Fibonacci):** ใช้ระดับ Fibonacci เพื่อระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่อาจเกิดขึ้น Fibonacci Retracement 14. **Elliott Wave Theory (ทฤษฎีคลื่น Elliott):** วิเคราะห์รูปแบบคลื่นบนกราฟราคาเพื่อคาดการณ์ทิศทางของราคา Elliott Wave Theory 15. **Price Action Trading (การเทรดตามการเคลื่อนไหวของราคา):** เน้นการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาโดยตรง โดยไม่พึ่งพาตัวชี้วัดทางเทคนิคมากนัก Price Action Trading

1. 1. 1. การบริหารความเสี่ยง ในการเทรด ไบนารี่ ออปชั่น

การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเทรดไบนารี่ออปชั่น เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด ต่อไปนี้เป็นข้อควรคำนึงในการบริหารความเสี่ยง:

• **กำหนดเงินลงทุนที่รับได้:** กำหนดจำนวนเงินที่คุณพร้อมที่จะสูญเสียโดยไม่กระทบต่อการเงินส่วนตัว
• **ใช้ขนาดการเทรดที่เหมาะสม:** อย่าลงทุนเกิน 1-5% ของเงินทุนทั้งหมดในการเทรดแต่ละครั้ง
• **ตั้ง Stop Loss:** แม้ว่าไบนารี่ออปชั่นจะไม่มี Stop Loss แบบดั้งเดิม แต่คุณสามารถจำกัดความเสี่ยงได้โดยการเลือก Expiration Time ที่สั้น
• **กระจายความเสี่ยง:** อย่าเทรดสินทรัพย์เพียงอย่างเดียว กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลาย
• **ควบคุมอารมณ์:** อย่าเทรดด้วยอารมณ์ และยึดมั่นในแผนการเทรดของคุณ
• **ใช้บัญชี Demo:** ฝึกฝนการเทรดด้วยบัญชี Demo ก่อนที่จะเริ่มเทรดด้วยเงินจริง บัญชี Demo

1. 1. 1. ข้อควรระวัง ในการเทรด ไบนารี่ ออปชั่น

• **เลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้:** ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโบรกเกอร์ได้รับอนุญาตและมีการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
• **ระวังการหลอกลวง:** หลีกเลี่ยงโบรกเกอร์ที่เสนอผลตอบแทนที่สูงเกินจริง หรือมีเงื่อนไขที่ไม่ชัดเจน
• **ทำความเข้าใจค่าธรรมเนียม:** ตรวจสอบค่าธรรมเนียมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเทรดไบนารี่ออปชั่น
• **อย่าเชื่อมั่นในสัญญาณเทรด:** สัญญาณเทรดอาจไม่แม่นยำเสมอไป และคุณควรทำการวิเคราะห์ด้วยตนเองก่อนตัดสินใจเทรด
• **ศึกษาข้อมูลอย่างต่อเนื่อง:** ตลาดการเงินมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลและพัฒนาทักษะการเทรดของคุณอย่างต่อเนื่อง

1. 1. 1. การวิเคราะห์ทางเทคนิค และ การวิเคราะห์พื้นฐาน

การตัดสินใจเทรดที่ชาญฉลาดควรมาจากการวิเคราะห์ทั้งทางเทคนิค และ ทางพื้นฐาน

• **การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis):** เป็นการศึกษาข้อมูลในอดีต เช่น ราคาและปริมาณการซื้อขาย เพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต การวิเคราะห์ทางเทคนิค
• **การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis):** เป็นการวิเคราะห์ปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง และอุตสาหกรรม ที่มีผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ การวิเคราะห์พื้นฐาน

การผสมผสานทั้งสองแนวทางการวิเคราะห์ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร และลดความเสี่ยงในการเทรด

1. 1. 1. สรุป

การเทรดไบนารี่ออปชั่นสามารถเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน การทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐาน กลไกการทำงาน กลยุทธ์การเทรด การบริหารความเสี่ยง และข้อควรระวัง จะช่วยให้คุณสามารถเทรดไบนารี่ออปชั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ

ตัวอย่างการเปรียบเทียบผลตอบแทนและความเสี่ยง

สินทรัพย์ ! ประเภทออปชั่น ! จำนวนลงทุน ! ผลตอบแทน (Payout) ! ระยะเวลา (Expiration Time) ! ความเสี่ยง
ทองคำ ! Call Option ! 1000 บาท ! 1800 บาท ! 60 วินาที ! สูง
ดอลลาร์สหรัฐฯ ! Put Option ! 500 บาท ! 900 บาท ! 5 นาที ! ปานกลาง
หุ้น Apple ! Touch/No Touch ! 2000 บาท ! 3600 บาท ! 15 นาที ! ปานกลาง-สูง
ดัชนี S&P 500 ! High/Low ! 100 บาท ! 190 บาท ! 30 วินาที ! ต่ำ

การจัดการเงินทุน จิตวิทยาการเทรด การเลือกโบรกเกอร์ การทำกำไร การลดความเสี่ยง

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น