Fibonacci Strategy

1. 1. กลยุทธ์ Fibonacci ในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น

กลยุทธ์ Fibonacci เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่เทรดเดอร์ไบนารี่ออปชั่น และนักลงทุนในตลาดการเงินโดยทั่วไป เนื่องจากมีความเรียบง่ายและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบ กลยุทธ์นี้อิงตามลำดับ Fibonacci ซึ่งเป็นลำดับตัวเลขที่ปรากฏในธรรมชาติบ่อยครั้ง และเชื่อกันว่ามีความสัมพันธ์กับรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับลำดับ Fibonacci

ลำดับ Fibonacci เริ่มต้นด้วย 0 และ 1 จากนั้นตัวเลขถัดไปในลำดับคือผลรวมของสองตัวเลขก่อนหน้า:

0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34, 55, 89, 144, …

จากลำดับนี้ เราสามารถสร้างอัตราส่วน Fibonacci ที่สำคัญ ซึ่งใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคได้ดังนี้:

• 61.8% (Golden Ratio)
• 38.2%
• 23.6%
• 50% (แม้จะไม่ใช่ Fibonacci โดยตรง แต่ก็มักถูกใช้ร่วมด้วย)

อัตราส่วนเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในการคำนวณระดับ Fibonacci Retracement และ Fibonacci Extension ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการระบุแนวรับ แนวต้าน และเป้าหมายราคา

Fibonacci Retracement คืออะไร?

Fibonacci Retracement คือเครื่องมือที่ใช้ในการระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่เป็นไปได้ โดยอิงจากอัตราส่วน Fibonacci Retracement จะถูกวาดบนกราฟราคา โดยเชื่อมต่อจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของแนวโน้มราคา (Trend) ที่ชัดเจน จากนั้นระดับ 61.8%, 38.2%, 23.6% และ 50% จะถูกวาดเป็นเส้นแนวนอนบนกราฟ

เทรดเดอร์ใช้ระดับเหล่านี้เพื่อคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวกลับ (Retrace) ไปที่ระดับใดก่อนที่จะกลับไปในทิศทางเดิมของแนวโน้ม แนวคิดเบื้องหลังคือ ราคาจะปรับตัวกลับในสัดส่วนที่กำหนดโดยอัตราส่วน Fibonacci ก่อนที่จะดำเนินต่อไปในทิศทางเดิม

การใช้ Fibonacci Retracement ในไบนารี่ออปชั่น

ในการใช้ Fibonacci Retracement ในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น มีขั้นตอนดังนี้:

1. **ระบุแนวโน้ม:** ขั้นตอนแรกคือการระบุแนวโน้มที่ชัดเจนในกราฟราคา ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) หรือแนวโน้มขาลง (Downtrend) 2. **วาด Fibonacci Retracement:** หลังจากระบุแนวโน้มแล้ว ให้วาด Fibonacci Retracement โดยเชื่อมต่อจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของแนวโน้ม

   *   สำหรับแนวโน้มขาขึ้น: วาดจากจุดต่ำสุดไปยังจุดสูงสุด
   *   สำหรับแนวโน้มขาลง: วาดจากจุดสูงสุดไปยังจุดต่ำสุด

3. **ระบุระดับแนวรับ/แนวต้าน:** สังเกตระดับ Fibonacci Retracement ที่สำคัญ (61.8%, 38.2%, 23.6%, 50%) ซึ่งอาจทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้าน 4. **เปิดสถานะ:** เมื่อราคาปรับตัวกลับมาที่ระดับ Fibonacci Retracement ที่สำคัญ ให้พิจารณาเปิดสถานะ:

   *   หากราคาปรับตัวกลับขึ้นมาที่ระดับ Fibonacci ในแนวโน้มขาขึ้น ให้เปิดสถานะ Call (ซื้อ)
   *   หากราคาปรับตัวกลับลงมาที่ระดับ Fibonacci ในแนวโน้มขาลง ให้เปิดสถานะ Put (ขาย)

5. **กำหนดระยะเวลา:** กำหนดระยะเวลาของสัญญา (Expiry Time) ตามกรอบเวลาที่คุณใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค

ตัวอย่างการใช้ Fibonacci Retracement

สมมติว่าเรากำลังวิเคราะห์กราฟราคาของสินทรัพย์ในกรอบเวลา 15 นาที และพบว่ามีแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน ราคาได้ปรับตัวขึ้นจาก 1.0000 ไปที่ 1.0500 จากนั้นได้ปรับตัวกลับลงมาเล็กน้อย เราวาด Fibonacci Retracement จาก 1.0000 (จุดต่ำสุด) ไปที่ 1.0500 (จุดสูงสุด) เราสังเกตว่าระดับ 61.8% Fibonacci Retracement อยู่ที่ประมาณ 1.0310 หากราคาปรับตัวกลับลงมาที่ระดับ 1.0310 เราอาจพิจารณาเปิดสถานะ Call (ซื้อ) โดยคาดหวังว่าราคาจะกลับไปในทิศทางเดิมของแนวโน้ม

Fibonacci Extension คืออะไร?

Fibonacci Extension เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการระบุเป้าหมายราคาที่เป็นไปได้ โดยอิงจากอัตราส่วน Fibonacci Extension จะถูกวาดบนกราฟราคา โดยใช้จุดเริ่มต้นของแนวโน้ม จุดสูงสุด (หรือจุดต่ำสุด) และจุดสิ้นสุดของแนวโน้ม จากนั้นระดับ 61.8%, 100%, 161.8% จะถูกวาดเป็นเส้นแนวนอนบนกราฟ

เทรดเดอร์ใช้ระดับเหล่านี้เพื่อคาดการณ์ว่าราคาจะเคลื่อนที่ไปถึงระดับใดหลังจากที่ทะลุแนวต้าน (หรือแนวรับ) สำคัญ

การใช้ Fibonacci Extension ในไบนารี่ออปชั่น

ในการใช้ Fibonacci Extension ในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น มีขั้นตอนดังนี้:

1. **ระบุแนวโน้ม:** เช่นเดียวกับ Fibonacci Retracement ขั้นตอนแรกคือการระบุแนวโน้มที่ชัดเจน 2. **วาด Fibonacci Extension:** วาด Fibonacci Extension โดยใช้จุดเริ่มต้นของแนวโน้ม จุดสูงสุด (หรือจุดต่ำสุด) และจุดสิ้นสุดของแนวโน้ม

   *   สำหรับแนวโน้มขาขึ้น: วาดจากจุดต่ำสุดไปยังจุดสูงสุด แล้วขยายไปข้างหน้า
   *   สำหรับแนวโน้มขาลง: วาดจากจุดสูงสุดไปยังจุดต่ำสุด แล้วขยายไปข้างหน้า

3. **ระบุเป้าหมายราคา:** สังเกตระดับ Fibonacci Extension ที่สำคัญ (61.8%, 100%, 161.8%) ซึ่งอาจทำหน้าที่เป็นเป้าหมายราคา 4. **เปิดสถานะ:** เมื่อราคาทะลุแนวต้าน (หรือแนวรับ) สำคัญ และคาดว่าจะเคลื่อนที่ไปถึงระดับ Fibonacci Extension ให้เปิดสถานะ:

   *   หากราคาทะลุแนวต้านในแนวโน้มขาขึ้น ให้เปิดสถานะ Call (ซื้อ)
   *   หากราคาทะลุแนวรับในแนวโน้มขาลง ให้เปิดสถานะ Put (ขาย)

5. **กำหนดระยะเวลา:** กำหนดระยะเวลาของสัญญา (Expiry Time) ตามกรอบเวลาที่คุณใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค

ตัวอย่างการใช้ Fibonacci Extension

สมมติว่าเรากำลังวิเคราะห์กราฟราคาของสินทรัพย์ในกรอบเวลา 1 ชั่วโมง และพบว่ามีแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน ราคาได้ปรับตัวขึ้นจาก 1.1000 ไปที่ 1.1500 แล้วทะลุแนวต้านที่ 1.1500 เราวาด Fibonacci Extension โดยใช้จุดต่ำสุดที่ 1.1000 จุดสูงสุดที่ 1.1500 และจุดสิ้นสุดของแนวโน้มปัจจุบัน เราสังเกตว่าระดับ 161.8% Fibonacci Extension อยู่ที่ประมาณ 1.2000 หากราคาทะลุแนวต้านที่ 1.1500 เราอาจพิจารณาเปิดสถานะ Call (ซื้อ) โดยคาดหวังว่าราคาจะเคลื่อนที่ไปถึงระดับ 1.2000

การผสมผสานกลยุทธ์ Fibonacci กับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ

เพื่อให้กลยุทธ์ Fibonacci มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ควรนำไปผสมผสานกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น:

• **แนวรับแนวต้าน (Support and Resistance):** ใช้ระดับ Fibonacci Retracement และ Fibonacci Extension ร่วมกับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ เพื่อยืนยันสัญญาณ
• **เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages):** ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อยืนยันแนวโน้ม และใช้ระดับ Fibonacci เพื่อระบุจุดเข้าซื้อขายที่เหมาะสม
• **เครื่องมือ Momentum (Momentum Indicators):** เช่น RSI และ MACD เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้ม และหลีกเลี่ยงการเข้าซื้อขายในช่วงที่ตลาดผันผวน
• **รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns):** เช่น Engulfing Pattern และ Hammer เพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัวของราคาที่ระดับ Fibonacci

ข้อควรระวังในการใช้กลยุทธ์ Fibonacci

• **ไม่ใช่เครื่องมือที่สมบูรณ์แบบ:** กลยุทธ์ Fibonacci ไม่ได้แม่นยำ 100% และอาจมีสัญญาณหลอก (False Signals) ได้
• **ต้องใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ:** ควรใช้กลยุทธ์ Fibonacci ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อยืนยันสัญญาณ
• **การจัดการความเสี่ยง (Risk Management):** ควรมีการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม เช่น การตั้ง Stop Loss เพื่อจำกัดความสูญเสีย
• **การเลือกสินทรัพย์:** เลือกสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง และมีความผันผวนที่เหมาะสม
• **การเลือกกรอบเวลา:** เลือกกรอบเวลาที่เหมาะสมกับสไตล์การซื้อขายของคุณ

กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้อง

• Elliott Wave Theory - ทฤษฎีคลื่นเอลเลียตต์
• Trend Following - การติดตามแนวโน้ม
• Breakout Strategy - กลยุทธ์การทะลุแนวต้าน/แนวรับ
• Support and Resistance - แนวรับและแนวต้าน
• Moving Average - เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
• RSI (Relative Strength Index) - ดัชนีวัดความแข็งแกร่งสัมพัทธ์
• MACD (Moving Average Convergence Divergence) - ดัชนีการบรรจบและแยกตัวของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
• Bollinger Bands - แบนด์บอลงเจอร์
• Ichimoku Cloud - ระบบเมฆอิจิโมคุ
• Japanese Candlesticks - แท่งเทียนญี่ปุ่น
• Price Action - การอ่านการเคลื่อนไหวของราคา
• Harmonic Patterns - รูปแบบฮาร์มอนิก
• Gann Analysis - การวิเคราะห์แกนน์
• Volume Analysis - การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย
• Chart Patterns - รูปแบบกราฟ

สรุป

กลยุทธ์ Fibonacci เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น แต่ต้องใช้ความเข้าใจและประสบการณ์ในการนำไปประยุกต์ใช้ การผสมผสานกลยุทธ์ Fibonacci กับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ และการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น